วันเสาร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 792 เปิดกิจการ

       ฉีซื่อราวกับตื่นขึ้นมาจากความฝัน ครั้นแล้วจึงเอ่ยว่า "ฝีปากของเหลียนฟางโจวนั้นเจนจัดยิ่งนัก เพียงข้าเผลอใจลอยแวบเดียว ข้าก็ตกหลุมพรางนางเสียแล้ว! หรือว่า ข้าจะกลับไปแล้วคุยในประเด็นเหล่านี้กับนางต่อดีล่ะเจ้าคะ?"

   

  “ผายลมแล้ว! “ ฮูหยินรองเอ่ยด้วยความโมโห "เจ้ากลับมาที่นี่แล้ว  ยังจะกลับไปที่โน่นทำไมอีก? มิน่าเล่า ผู้อื่นถึงไม่ยินดีจะต้อนรับเจ้า! "

     พอกล่าวจบ ฮูหยินรองก็ดุฉีซื่ออีกครั้ง ฉีซื่อหงุดหงิด จนอดเอาความโกรธมาลงที่โจวซื่อไม่ได้ นางกลับไปที่เขตเรือนตนเอง พลางบ่นพึมพําว่า" ข้าเป็นคนรู้ธรรมเนียมมรรยาท เพียงแต่มือไวเท้าไวไปหน่อยต่างหาก..."

     เมื่อวันที่ 16 เดือนสาม ร้านค้า 12 ร้านที่มีชื่อว่าภัตรคารเป็ดปักกิ่ง ก็เปิดกิจการพร้อมกัน นอกจากการขายเป็ดย่างเป็นหลักแล้ว ยังขายห่านย่าง และไก่ย่าง รวมทั้งไก่อบเกลือด้วย

     ร้านค้าสิบสองร้านตั้งอยู่ในย่านชุมชนเมืองสี่แห่งของเมืองหลวง ร้านมีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ผนังก่อด้วยอิฐสีเขียวฟ้า แล้วถูกทาด้วยสีขาว นอกจากนี้ยังมีห้องทำบัญชีเล็กๆอยู่ที่ลานด้านหลัง ซึ่งก็เป็นสถานที่ๆใช้เก็บกองฟืนที่เรียงซ้อนกัน มีการสร้างโกดังไว้เก็บข้าวของจิปาถะบางอย่าง รวมทั้งวัตถุดิบที่ผ่านกรรมวิธีมาเบื้องต้นแล้ว

    สําหรับการฆ่าสัตว์ที่นำมาทำอาหาร จะมีสถานที่แยกไปต่างหาก ซึ่งตั้งอยู่ในแต่ละย่านเขตเมือง ที่นี่มีหน้าที่เชือดและทําความสะอาดสัตว์ปีกพวกนั้น ก่อนจะส่งไปยังร้านค้าทุกแห่ง

    ด้านนอกจะเป็นหน้าร้านไว้ตั้งแสดงสินค้า และชั้นบนก็มีห้องเล็ก ๆสองห้องสําหรับให้พนักงานกะกลางคืนพักอาศัย

     แบบแปลนร้านก็คล้ายๆกับร้านขายอาหารสำเร็จรูปทั่วไป คือมีการสร้างตู้สินค้าสูงครึ่งตัวคน แล้ววางสินค้าแสดงอยู่ด้านบน เหลียนฟางโจวช่างร้ายกาจนัก เธอสั่งให้คนทำฉากกั้นสินค้าที่ทำจากกระจกใสทั้งหมด ซึ่งสามารถเช็ดทําความสะอาดได้ทุกวัน ลูกค้าที่มาซื้อสินค้า ก็จะสามารถมองเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจน

     เพียงแต่ว่ากระจกเป็นของมีค่า หายากและราคาแพง เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้คนทำแตกโดยง่าย ตู้ขายสินค้าจึงถูกสร้างไว้ข้างในร้าน เมื่อปิดประตูและหน้าต่างร้านในตอนกลางคืน ตู้ขายของก็ปลอดภัยแล้ว

     ข้างๆกับตู้ขายสินค้า เหลียนฟางโจวยังสั่งทําเตาอบที่ล้อมรอบด้วยกระจกใสมาโดยเฉพาะ เมื่อมองผ่านกระจก ลูกค้าก็สามารถเห็นเป็ดที่กำลังถูกย่างบนเตาจนหนังกลายเป็นสีเหลืองทองอย่างชัดเจน บรรดาสินค้าที่แขวนอยู่ภายใน และเปลวไฟสีแดงสุกสว่างในเตา ล้วนดึงดูดความสนใจของผู้คน และเป็นภาพที่หาดูได้ยากนัก

    สําหรับห่านย่างและไก่ย่างพวกเขาจะย่างกันในลานด้านหลัง

    ตัวอาคารของร้านใช้ผนังสีขาว และกระเบื้องหลังคาสีดํา มีชายคาสองชั้นยกสูง และมีแผ่นป้ายกรอบไม้หงมู่สีดำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีตัวอักษรสีทอง สี่คำ เขียนไว้ว่า ‘เป็ดย่างปักกิ่ง’ แขวนอยู่ตรงกลาง

    ประตู, หน้าต่าง, ชายคา, คาน เสาและ ส่วนประกอบอื่นๆทุกอย่างที่จําเป็นต้องใช้ไม้ ทั้งหมดจะคงสีของเนื้อไม้ไว้ตามเดิม แล้วทา น้ํามันถงใสกันน้ำทับลงไปแปดรอบ รูปแบบของงานไม้ ได้รับการออกแบบและตกแต่งอย่างดีที่สุด ซึ่งดูโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร

    ใต้ชายคามีโคมไฟแปดเหลี่ยมพร้อมพู่ห้อยสี่ดวง แขวนอยู่แต่ละฟาก และบนชายคา มีธงป้ายที่มีตัวอักษรปักด้ายสีทองและสีแดงขนาดใหญ่ ปักไว้สูง ซึ่งจะปลิวสะบัดยามลมพัด

   นี่คือรูปแบบของร้านค้าตามมาตรฐานในอนาคต ไม่ว่าจะสร้างสาขาใดในเมืองไหน ก็จะต้องใช้รูปแบบเดียวกัน

   ร้านค้าที่ว่านี้ไม่ต้องใช้เวลาถึงสองสามปีให้เป็นที่จดจำเลย ทันทีที่ทุกคนเห็นหน้าร้านมีลักษณะดังกล่าว พวกเขาจะรู้ว่ามันคือร้านเป็ดย่างปักกิ่ง

    อาคารที่ได้รับการปรับปรุงใหม่นี้ เป็นที่สะดุดตายิ่งนัก และไม่รู้ว่ามีลูกตาจำนวนเท่าไร และเสียงพูดคุยไถ่ถามกันมากมายเพียงไหน เพราะยามที่ผู้คนเดินผ่านมาเห็นเข้า ทุกคนจะต้องหยุดมองดูอยู่เสมอ เพราะไม่มีใครรู้ว่า อาคารที่ตกแต่งแบบนี้มีไว้เพื่อใช้ทำอะไร

    จนกระทั่งเช้าวันที่ 16 เดือนสาม ด้วยเสียงประทัดที่ดังสนั่นหู ป้ายที่ถูกแขวนไว้ และประตูร้านเปิดกว้าง ทุกคนก็รู้คำตอบในที่สุด

    ปี้เถา หงอวี้และชุนซิ่งได้รับคําสั่งจากเหลียนฟางโจว ให้แต่ละคนจอดรถม้าใกล้กับร้านค้า และเฝ้าสังเกตการจากหน้าต่างรถม้า

    หลังจากได้ยินเสียงประทัด ผู้คนก็ออกมาดูกันมากขึ้นเรื่อยๆ และเข้าไปในร้าน  ในใจของพวกเขาอดชื่นชมยินดีไม่ได้

    ไม่มีร้านไหนในเมืองหลวงที่ใจกว้าง ยินดีใช้กระจกมาทำฉากกั้น และมีเตาเป็ดย่างที่กําลังลุกไหม้แบบนี้  ทุกคนจึงต้องมาดูให้เห็นกับตา ซึ่งทำให้ร้านดูคึกคักยิ่งนัก!

    นอกจากนี้ก็ยังเป็นเพราะมีกิจการร้านขนมในหมู่บ้านซิ่งฮวาที่ทําเงินได้ด้วย เหลียนฟางโจวจึงเต็มใจยอมลงทุนหนักขนาดนี้

    หลังจากเหลียนฟางโจวเปิดกิจการร้านขนมหมู่บ้านซิ่งฮวา แต่ละร้านทำเงินได้ 3,000-4,000 ตำลึงต่อเดือน และอย่างน้อย 6,500 หรือจนถึงเกือบ 10,000 ตำลึงในช่วงเทศกาลปีใหม่ ส่วนเงินที่เอาไปลงทุนทำกิจการนี้ เธอก็ได้ทุนคืนหมดแล้ว! เหลียนฟางโจวจึงกำลังมีความคิดจะเปลี่ยนมาใช้ตู้สินค้าที่มีฉากกั้นทำด้วยกระจกให้กิจการนี้เช่นกัน!

    เมื่อร้านเป็ดย่าง มีกลิ่นหอมโชยมาอีกครั้ง ทุกคนก็อดจะสูดจมูกและน้ําลายไหลไม่ได้ เมื่อมองไปที่เป็ดย่างสีทองอร่าม ห่านย่างที่มีสีแดงแซมเหลือง และไก่อบเกลือที่สดใส ทั้งหมดกระตุ้นให้คนหิวมากขึ้นเรื่อย ๆ

    วันนี้คือวันเปิดร้าน หลงจู๊ของร้านยิ้มแย้ม และแล่ไก่ เป็ดและห่านมาให้ลูกค้าลองชิมโดยไม่คิดเงิน และหลังจากที่ทุกคนได้ลิ้มรสดูแล้ว พวกเขาก็รู้สึกทึ่งในใจยิ่งกว่าเดิม

   "นี่เป็ดจริงๆเหรอ ที่แท้เป็ดยังมีรสชาติแบบนี้ด้วย! "

    " หนังนี่ก็กรอบ ส่วนเนื้อนุ่มอร่อย เฮ้อ ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเป็ดย่างมาก่อน ข้ายังคิดว่ามันไม่น่าใช่เป็ดย่าง ที่ย่างบนไฟ ใครจะไไปรู้ว่า มันมีการย่างแบบนี้ด้วย!"

    "สิ่งที่ข้าอยากจะพูด นั่นก็คือ! มันยากที่จะคิดทำแบบนี้ เขาคิดวิธีแบบนี้มาได้อย่างไรกันนะ! "

    "ปกติข้าไม่ชอบกินเนื้อห่านเลย เพราะมันหยาบเกินไป แต่เนื้อห่านที่นี่ก็นุ่มและหอมมากเช่นกัน!"

    "ข้าคิดว่าไก่อบเกลือนี่ก็อร่อยนะ มันดูธรรมดานะ แต่พอกินไปแล้ว รสชาติก็อร่อยดี!"

     "......"

     เมื่อฟังเสียงซุบซิบของฝูงชน หลงจู๊และพนักงานร้านทุกคนต่างก็ยิ้มแก้มปริ

     หลงจู๊ตะโกนเสียงดัง "พี่น้อง ลุงป้าน้าอาทั้งหลาย วันนี้คือวันเปิดร้าน เจ้าของร้านบอกว่า ใครที่ซื้อ ทางร้านจะลดราคาให้สองในสิบส่วน! สามวันติดต่อกัน! ทุกวันจะมีเป็ดย่าง ห่านย่าง ไก่ย่างและไก่อบเกลือเพียง 100 ตัวเท่านั้น ใครมาก่อน ได้ก่อน เร่เข้ามาเร็วเข้า อยากได้อะไร ซื้อหากันได้  หากไม่ซื้อ ก็มาอุดหนุนวันพรุ่งนี้ได้ขอรับ! "

    ฝูงชนจึงถามเรื่องราคาสินค้าแต่ละอย่าง และพอได้ยินว่าห่านย่าง เป็ดย่าง ราคายังไม่รวมส่วนลดชั่งละห้าตำลึง ส่วนไก่อบเกลือ และไก่ย่าง ชั่งละสี่ตำลึง หลายคนจึงลังเล

   ต้องรู้ก่อนว่า เป็ดเป็นๆราคาเพียงชั่งละ 50 อีแปะ ส่วนไก่เป็นๆก็ราคาเดียวกัน เป็ดย่างตัวนี้ไม่รู้ว่าสามารถซื้อเป็ดและไก่เป็นๆได้กี่ตัวกัน!

   มีคนมากมายถอยหนี

    อย่างไรก็ตาม ในเมืองหลวง มีครอบครัวมีอันจะกินเป็นอันมาก และหลายคนก็ยังคงซื้อไป

   แล้วยิ่งเมื่อรู้ว่า ลูกค้าไม่จําเป็นต้องซื้อทั้งตัว สามารถซื้อเพียงครึ่งชั่งก็ได้  คนส่วนใหญ่ที่กำลังจะออกไปตั้งแต่แรกๆ ก็อุทานออกมาทันที และเดินไปต่อแถวอีกครั้ง

    ชุนซิ่งและคนอื่น ๆ มองเหตุการณ์ที่ร้าน ที่ดูคึกคักมีชีวิตชีวานี้ ก็คำนวณตัวเลขในใจ ก่อนจะกลับไปที่จวนทีละคน

    เมื่อโจวซื่อกลับเรือนตัวเองไปแล้ว เหลียนฟางโจวก็นอนอยู่บนตั่งนุ่ม ๆ ในห้องตะวันออก  สาวใช้ทั้งสามคนต่างก็ยิ้มแย้มและเล่าอธิบายให้เหลียนฟางโจวฟังว่า พวกนางได้เห็นอะไรในวันนี้บ้าง

    เหลียนฟางโจวเผยรอยยิ้มที่มุมปากโดยไม่รู้ตัว ขณะที่ฟังไป หญิงสาวก็ถอนหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม "น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้ไปเห็นด้วยตาตัวเอง!" 

    ชุนซิ่งและคนอื่น ๆ ต่างรู้ว่า เหลียนฟางโจวต้องลงทุนลงแรงไปแค่ไหน กว่าจะเปิดร้านใหม่นี้ได้ ชุนซิ่งจึงยิ้มและเอ่ยปลอบโยน " มีอะไรที่ต้องเสียดายเล่าเจ้าคะ กิจการนี้เป็นของฮูหยินอยู่แล้ว  รอให้ฮูหยินให้กําเนิดนายน้อยแล้ว สภาพเหมือนถูกคุมขังก็จะจบลงด้วย ฮูหยินจะไปที่ไหนก็ไปได้ มิใช่หรือเจ้าคะ!" 

   ปี้เถาและหงอวี้ต่างพยักหน้ายิ้มๆ

   เหลียนฟางโจวหัวเราะ "จริงด้วย ข้าเอาแต่กังวลเกินไป! อีกสามวัน จะมีการเปิดร้านขนมอีกสิบกว่าสาขา ชุนซิ่งกับหงอวี้ เจ้าสองคนคงจะต้องทำงานหนักขึ้น และเมื่อถึงเวลา ก็ต้องไปดูสถานการณ์ในหลายๆเมืองรอบๆเมืองหลวง ส่วนปี้เถาเจ้าก็ยังคงไปดูในย่านเขตเมืองเหมือนเดิม! "

   ทั้งสามคนรับคำพร้อมกัน

   เมื่อวันนั้นมาถึง พวกนางทั้งสามคนต่างก็เดินทางไปตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

    โจวซื่อมาเป็นเพื่อนเหลียนฟางโจวในวันนี้ และเมื่อนางเห็นชิงเหอและไม่เซียง และสาวคนใช้รุ่นเล็ก คอยปรนนิบัติ  นางก็อดหัวเราะไม่ได้ " เจ้าส่งชุนซิ่งไปทําธุระอีกแล้วเหรอ? ข้าว่าเจ้ากังวลเกินไปแล้ว! มีอะไรก็บอกพ่อบ้านเฉียนที่อยู่เขตเรือนชั้นนอกไปทำสิ มันก็ไม่ต่างกันมิใช่เหรอ? ! "




2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ17 มีนาคม 2567 เวลา 12:14

    ขอบคุณค่ะ

    ตอบลบ
  2. นางเปิดร้านทีนึงเป็นสิบๆร้านความสามารถล้นเหลือจริงๆ
    ถ้าฝ่ายตรงข้ามรู้รับรองเลยว่าเต้นแน่

    ตอบลบ