วันศุกร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 805-ยุยงปลุกปั่น

       เมื่อนึกถึงแม่นางฉิน หัวใจของเซียวมู่ก็ปวดร้าว และจู่ๆรสชาติทั้งห้า(หวาน เปรี้ยว ขม เผ็ด เค็ม)ก็ผสมปนเปกันขึ้นมา


    เมื่อนึกถึงสายตามุ่งร้ายของนางในตอนท้าย เขาก็รู้สึกตกใจ ไม่อยากจะเชื่อ และผิดหวัง แต่เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ในยามนี้  เขาก็รู้สึกเวทนานางขึ้นมา

    จริงๆแล้ว นางน่าสงสารจริงๆ! นางยินยอมมีสภาพแบบนี้ได้อย่างไร!

    น่าเสียดายที่เขาทําอะไรไม่ได้เลย!

    เพียงไม่นานเหลียนฟางโจวก็ได้รู้เรื่องคําพูดบ้าๆ ที่แม่นางฉินกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งในเรือนถือศีลภาวนา ที่บอกว่าจะฆ่าตน

    หญิงสาวมิได้ตําหนิหญิงรับใช้สูงวัยทั้งสี่ที่เฝ้าคน เพียงแต่บอกให้พวกเขาระมัดระวัง และไม่ปล่อยให้แม่นางฉินคุ้มคลั่งอีก

   จากนั้น นางก็เชิญโจวซื่อมาพูดคุยและเปิดเผยถึงสาเหตุการตายของติงเซียงกับอีกฝ่าย และเธอก็ไม่สบายใจมากที่จะบอกอีกฝ่ายว่า ติงเซียงเป็นสาวใช้คนสนิทของแม่นางฉิน ไม่ว่าตอนจบ ผลจะออกมาเป็นอย่างไร  นางก็ต้องบอกความจริงแก่อีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นเมื่อหลี่ฟู่กลับมา แม่นางฉินก็ต้องยืนกรานบอกเขาผิดๆว่า เธอทำกับติงเซียงอย่างไร และนางก็พูดลำบาก!

   โจวซื่อตกใจและโมโหที่ได้ยิน นางเป็นคนใจเย็นเสมอ ดังนั้นจึงไม่อาจดุว่าติงเซียงอย่างรุนแรงได้

    นางเชื่อคำพูดของเหลียนฟางโจว

    เพราะประการแรก เหลียนฟางโจวไม่ใช่คนแบบนั้น และประการที่สอง อีกฝ่ายไม่จําเป็นต้องใส่ร้ายสาวใช้รุ่นเล็กเช่นนี้ เหนืออื่นใด กระทั่งแม่นางฉิน ก็ยังไม่เคยแตะนางเลยไม่ใช่เหรอ?   ประการที่สาม พ่อบ้านเฉียนก็เป็นคนวงใน และพ่อบ้านเฉียนคือคนที่หลี่ฟู่หามา เขาจึงไม่น่าพูดจาเหลวไหล

    โจวซื่อจึงเอ่ยทันทีว่า นางจะไปอธิบายเรื่องนี้กับแม่นางฉินให้กระจ่าง และตนจำไม่ทำให้นางเข้าใจผิด

   เมื่อแม่นางฉินได้ยินว่า ติงเซียงทรยศตัวเอง นางโกรธมากเสียจนแทบกระอักเป็นเลือด!

    นางเชื่อว่าโจวซื่อไม่หลอกลวงนาง และยามนี้ เรื่องนี้ก็เป็นความจริง เพราะเมื่อนางได้ลองใคร่ครวญถึงเรื่องนี้ การแสดงออกของติงเซียงนั้น ดูกระตือรือร้นมากเกินไป ติงเซียงตั้งตารอคอยอยากเห็นเหลียนฟางโจวตาย เสียยิ่งกว่าตัวนางเสียอีก ไม่สิ ก่อนหน้านั้น นางไม่เคยคิดเอาชีวิตเหลียนฟางโจวและเด็กในครรภ์ของนางเลย!

    นางถูกติงเซียงยุยงปลุกปั่น!

    นั่นคือคนที่นางไว้ใจมากที่สุด คนที่นางพึ่งพามากที่สุด คนที่นางคิดว่า ต่อให้โลกทั้งใบทรยศนาง อีกฝ่ายก็จะอยู่เคียงข้างนางเสมอ!

    นึกไม่ถึงว่า ผลก็คืออีกฝ่ายคือต้นเหตุที่ทำให้นางตกต่ำ จนมาถึงจุดที่นางอยู่ในตอนนี้!

    หากนางมีทางเลือก แม่นางฉินขอไม่รู้ข่าวนี้ดีกว่า!

    ข่าวนี้ทําลายแสงสว่างและความอบอุ่นเพียงนิดเดียวในหัวใจของนาง!

    ตามที่คำบอกเล่าของหญิงรับใช้สูงวัยทั้งสี่ แม่นางฉินเอาแต่นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง ราวกับคนวิญญาณหลุดลอยจากร่างไปแล้ว หลังจากที่ฮูหยินใหญ่จากไป นางก็เอาแต่ร้องไห้ สลับกับหัวเราะไปด้วย ดูคล้ายคนบ้ายิ่งนัก

     วันต่อมา  นางก็กลายเป็นคนเฉื่อยชาเหงาหงอย หมดอาลัยตายอยาก

     เหลียนฟางโจวได้ฟังแล้ว ก็ยิ้มอย่างเย็นชา: ด่าข้าอีกสิ ลองด่าข้าอีกสิ! เจ้าไม่มีทางจะเอามีดแทงข้า ได้มากกว่า เอามีแทงใจตนเอง  และความตายของเจ้าก็ไม่มีทางหนีพ้นไปจากน้ำมือข้า!

     ก่อนหน้านี้ข้าขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจเจ้า ในเมื่อเจ้าอยากหลงไหลคลั่งไคล้ไม่เลิก ก็อย่ามาว่าที่ข้าโหดร้ายก็แล้วกัน

     ไม่กี่วันต่อมา เมื่อปี้เถาและบ่าวรับใช้ในจวน ออกไปซื้อของด้วยกัน พวกเขาได้เดินผ่านหน้าหอสุราแห่งหนึ่ง และมองเข้าไปข้างในโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้น พวกเขาก็เห็นเซียวมู่นั่งอยู่ในนั้น เขาดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า ขณะมีไหเหล้าอยู่สามสี่ใบบนโต๊ะ

    สีหน้าของปี้เถาเปลี่ยนไป นางจึงแค่นเสียง ‘เชอะ’ แล้วหันหน้ากลับ ขี้คร้านจะมองเขา

    โอ ผ่านมาหลายวันแล้ว ความเศร้าโศกก็ยังไม่จางหายไป!  มันไม่ใช่เพราะผู้หญิงจิตใจชั่วร้ายในเรือนถือศีลภาวนาหรอกเหรอ! หากเขามีความสามารถ  เขาคงจะดื่มจนตัวเองตายไปเลย!

    แม้ว่าปี้เถาจะเอาแต่คอยก่นด่าชายหนุ่มในใจ แต่ในตอนขากลับ นางหาข้ออ้าง และบอกสารถีรถม้าให้ขับมาในถนนสายนี้

   เมื่อผ่านหอสุรา  ปี้เถาก็มองไปตรงบริเวณ ที่นางได้เห็นเซียวมู่ก่อนหน้านี้

    และแล้วความโกรธในใจที่สงบลงเล็กน้อยของหญิงสาว ก็พลันพุ่งพล่าน สูงกว่าเก่า!

   เจ้าบ้านั่นยังดื่มอยู่ที่นั่นอยู่เลย

   ปี้เถาแค่นเสียงเย็นชาดังลั่น ทําเอาสหายที่ร่วมเดินทางมาในรถด้วยทั้งสองคน สะดุ้งตกใจ แล้วถามนางว่าเกิดอะไรขึ้น?

   ปี้เถาจึงมองคนสองคนอย่างตื่นตระหนก และพูดว่า "พวกเจ้ากลับไปที่จวนก่อนเถอะ จู่ๆข้าก็นึกขึ้นได้ว่า ยังมีมีธุระที่ต้องทำอีก! กลับไปแล้วบอกพี่ชุนซิ่งด้วย หากฮูหยินถามถึงข้า ก็บอกไปว่า ข้าจะรีบกลับมา ให้นางรับหน้าฮูหยินแทนข้าไปก่อน! "

   สหายร่วมงานทั้งสองรีบตกลง และเอ่ยออกมาคําสองสามคําทำนองว่า "ระวังตัวด้วย"  และเมื่อปี้เถาลงจากรถม้าแล้ว พวกเขาก็กลับจวนกันไปก่อน

    ปี้เถาเข้าไปในหอสุรา แล้วชี้ไปที่เซียวมู่ พลางถามเถ้าแก่ร้านว่า "บุคคลนั้นดื่มมานานแค่ไหนแล้ว?" 

   เมื่อเถ้าแก่ร้านเห็นว่านางกําลังถามถึงเซียวมู่ ดวงตาเขาก็เรืองวาบ แล้วเขาก็ส่ายหน้า พลางถอนหายใจ "เฮ้อ แขกที่เป็นเจ้าหน้าที่คนนั้นมาที่ร้านทุกวันเลย และเขาจะไม่ขยับไปจากที่นั่ง จนกว่าร้านจะปิด! เฮ้อ เขาดูเศร้าโศก ข้าไม่รู้ว่าเขาพบเรื่องเศร้าอันใดมา และเกิดเรื่องเศร้าขึ้นได้อย่างไร! แม่นาง ท่านเป็นน้องสาวหรือว่าญาติของเขาเหรอ? หากทําได้ ก็เอาเขาออกไปให้เร็วที่สุดเถิด!  ข้าจะไม่คิดเงินสําหรับค่าสุราครั้งนี้! "

    ขณะพูดไป เขาก็ถอนหายใจ ก่อนจะพึมพำคําว่า "น่าสงสาร" 

    ปี้เถาฟังแล้ว ก็นึกโมโหในใจ เจ้าบ้าเอ๊ย! เจ้าจะเป็นจะตายเพื่อใครกันเหรอ?  ทำท่าทางเหมือนคนใกล้ตายแบบนี้ จะรอให้นายท่านกลับมา แล้วค่อยสารภาพต่อหน้านายท่าน เพื่อให้นายท่านเห็นสภาพใกล้ตายของเจ้า นายท่านจะได้ใจอ่อน ยอมให้อภัยหญิงชั่วร้ายผู้นั้นง่ายๆละสิ!

    คงต้องบอกว่า แม่นางปี้เถาคิดมากเกินไปจริงๆ!

    ปี้เถาหักแท่งเงินที่ล้วงออกจากถุงเงินของตน แล้ววางส่วนที่หักมาไว้บนโต๊ะขายของ: "เงินนี่เพียงพอจ่ายค่าสุราหรือไม่?" 

    เถ้าแก่ร้านนิ่งอึ้งไปทันที  ครั้นแล้วก็รีบพยักหน้า "พอขอรับ! พอขอรับ! "

     ปี้เถาจึงพูดว่า "ได้โปรดช่วยเรียกรถม้าให้ข้าที และพาเขาขึ้นไปบนรถด้วย! ขอบคุณนะ! "

    แม้ว่าไม่มีเหตุผล กับการเปิดประตูทำการค้า  แล้วขับไล่แขกออกไป แต่เซียวมู่ก็ทำให้เขาหนักใจนัก ทุกวันนี้เถ้าแก่ร้านและลูกจ้างหลายคน ทันทีที่เห็นเขา ก็หนังศรีษะชากันไปเป็นแถบ ได้แต่วิตกกังวล กลัวว่าหากมีอะไรเกิดขึ้น เรื่องมันจะไม่จบง่ายๆ

    การทำกิจการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจการหอสุรา  จะกลัวการมีปัญหามากที่สุด

   และยามนี้ ในที่สุดก็มีใครบางคนเต็มใจจะกําจัดตัวปัญหานี้ออกไป  เถ้าแก่ร้านแทบจะเรียกนางว่า "ท่านย่า" กันเลยทีเดียว เขาจึงกล่าวด้วยความเบิกบานยินดีทันทีว่า " ด้วยความยินดีขอรับ  ด้วยความยินดีขอรับ! แม่นางรอสักครู่ แม่นาง ข้าจะไปหารถม้ามาให้แม่นางขอรับ! "

   ว่าแล้วก็ออกไปสั่งพวกลูกจ้างผู้ชายเสียงลั่น

   ทําให้ปี้เถารู้สึกงุนงงเล็กน้อย แล้วมองเถ้าแก่อยู่สองรอบด้วยความสงสัย  พลางคิดในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นี้? ข้าขอให้เขาช่วยนะ  เขาไม่น่าจะดีใจปานนี้!"

     พวกคนที่ชอบหลงตัวเองหน่อยๆ ก็อาจเข้าใจผิดคิดไปว่า  บางเถ้าแก่ร้านคงแอบนึกหลงไหลตน และตื่นเต้นดีใจ ที่ในที่สุดก็ได้มีโอกาสเอาใจใส่ดูแลตน!

   อย่างไรก็ตาม ปี้เถาไม่ใช่คนเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงข้อสงสัยที่หลงเหลืออยู่ในใจนาง

   พวกลูกจ้างชายต่างก็คิดแบบเดียวกับเถ้าแก่ร้าน และรอเพียงไม่นานรถม้าก็มา  ชายสองคนช่วยกันประคองเซียวมู่ที่เมามายขึ้นไปบนรถม้า โดยที่ปี้เถาไม่ต้องสั่ง

    เมื่อเห็นว่า แม้ปากของเซียวมู่จะพึมพำถ้อยคำคลุมเครือ ที่จับใจความไม่ได้ แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ต่อต้านหรือปฏิเสธ และก็ไม่ได้คลุ้มคลั่งด้วย ปี้เถา เถ้าแก่ร้าน และลูกจ้าง ต่างก็พากันโล่งอก

   เมื่อเฝ้ามองรถม้าที่เคลื่อนตัวเสียงดังก้องออกไป เถ้าแก่ร้านก็ถอนหายใจโล่งอก "ข้าหวังว่า เขาคงจะไม่หวนกลับมาอีกในวันพรุ่งนี้นะ! หัวใจข้าจะทนไม่ไหวแล้ว! "

    ด้วยมีปี้เถาชี้ทาง  เพียงไม่นานก็มาถึงบ้านหลังเล็ก ที่เซียวมู่อาศัยอยู่

    ที่นี่มีแต่คนรับใช้แก่ๆคนเดียวที่เป็นยามเฝ้าประตู ซึ่งบังเอิญเกิดลางานไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา  ยามนี้จึงไม่มีใครอยู่ในบ้าน

    หลังจากลงจากรถม้า ปี้เถาก็พยุงเซียวมู่ซึ่งเดินโซเซตุปัดตุเป๋  หญิงสาวจึงจับตัวเขาไว้ แล้วถามเขาว่า "กุญแจอยู่ไหนล่ะ? ท่านเอากุญแจมาเปิดประตูสิ! "

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น