วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 839 ออกไปจากเมืองหลวงเถอะ

      ดวงตาของหลี่ฟู่เย็นชายิ่งขึ้นไปอีก  เขาพูดอย่างเย็นชา: “ฟางโจว นางเป็นภรรยาของข้า ข้าไม่อนุญาตให้คนอื่นใส่ร้ายนาง ไม่ว่าหน้าไหนก็ทำไม่ได้! อารอง ท่านก็เช่นกัน!


    หลี่ฟู่แค่นเสียงเยาะ แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา: "หากข้าต้องการแต่งงานกับคุณหนูหกตระกูลจู ฟางโจวจะหยุดข้าได้เหรอ? ที่ข้าไม่ต้องการแต่งงาน ก็เพราะตัวข้าไม่ต้องการเอง! อารอง การที่ข้าไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว มันเกี่ยวอะไรกับท่านเหรอ ?"

   นายท่านรองอ้าปากพงาบๆ แต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้ แม้แต่โพรงอก ก็มีลมหายใจติดขัด

   หลี่ฟู่กล่าว "ข้าไม่อยากเห็นเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก มีพียงต้องให้พวกท่านออกไปจากเมืองหลวงเท่านั้น ถึงจะเป็นผลดีต่อเราทั้งสองฝ่าย! อารอง ท่านเต็มใจจะเป็นมีดในมือของคนอื่นมากนักเหรอ? ท่านไม่กลัวหรือว่า วันหนึ่งท่านอาจจะโดนมีดบาดมือก็ได้ แม้กระทั่งชีวิตของท่านเอง ก็อาจรักษาไว้ไม่ได้ ลุงรอง หากท่านไปถึงจุดนั้นจริงๆ ข้าก็ช่วยอะไรท่านไม่ได้ ตระกูลจูนั้น พวกเรารับมือได้ไม่ง่ายเลย!”

    นายท่านรองเหยียดยิ้ม แล้วเอ่ยเบา ๆ ว่า: "นี่มันเป็นเรื่องของครอบครัวเรา เจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวลไปกับเราหรอก! ฮึ่ม เจ้าคิดว่าพวกเราทุกคนโง่กันหมดจริงเหรอ? และเจ้าเป็นคนฉลาดเพียงคนเดียวในโลกนี้เหรอ? เรื่องที่ตระกูลจูอยากมาหลอกใช้เราอีกครั้ง มันไม่ได้ทำง่ายๆขนาดนั้นหรอกนะ!"

   หลี่ฟู่ปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่าย คนฉลาดเหรอ? ไม่ง่ายอย่างนั้นเหรอ? ตราบใดที่ตระกูลจู โยนผลประโยชน์บางอย่างออกไป ข้าเกรงว่า พวกท่านอาจเป็นฝ่ายอาสาเป็นมีดในมือผู้อื่นเสียเอง! แล้วครอบครัวข้าจะป้องกันอะไรได้เหรอ?

   หลี่ฟู่โพล่งออกไป "ข้าไม่สนเรื่องครอบครัวของท่านหรอก แต่การที่ตระกูลจู ต้องการใช้ท่านมาจัดการกับข้าและ ฟางโจว ท่านคิดว่าข้าไม่สนเหรอ พอเราสองครอบครัวมาทะเลาะกัน ตระกูลจูก็จะเฝ้าดูความสนุกครื้นเครงอยู่วงนอก แล้วกันตัวเองออกมาอย่างขาวสะอาด อารองสามารถยอมจำนนต่อคนผู้นี้ได้  แต่ข้ายอมไม่ได้ ในเมื่อข้าได้อธิบายไปอย่างละเอียดแล้ว ทว่ายามนี้หากอารองยังคิดไม่ออก หลังข้ากลับไปแล้ว ท่านก็ลองไปคิดทบทวนให้ดี ข้าคิดว่าอารองเป็นคนฉลาด และคนฉลาดย่อมคิดออกเสมอ!"

   จะรังแกกันเกินไปแล้วนะ!

   นายท่านรองถลึงตาใส่อีกฝ่ายด้วยโทสะ แล้วคำรามออกมา: "ข้าไปสัญญากับเจ้าว่าจะลาออกตั้งแต่เมื่อไหร่!"

   สายตาของหลี่ฟู่เย็นเยียบ ชายหนุ่มพูดอย่างเย็นชาว่า “อารอง ท่านจงเป็นฝ่ายหยุดก่อกวนความสุขสงบเพื่อข้าเถอะ! ท่านมีปัญหาอันใด กับการกลับบ้านเกิด แล้วไปใช้ชีวิตเป็นเศรษฐีรึ? สำหรับการอยู่ในเมืองหลวง ด้วยคุณสมบัติของอารอง ในชาตินี้ ท่านก็ไม่มีทางได้ข้องเกี่ยวกับสำนักราชบัณฑิตหลวงไปจนตาย  ส่วนถางสยงและถางตี้ ก็ไม่มีทางได้ก้าวหน้าไปไกลกว่านี้แน่ ต่อให้พวกท่านมีความก้าวหน้าในกาลก่อนนั้น นั่นก็เป็นเพราะข้าเอง ที่ราชสำนักมอบความไว้วางใจให้ ในเมื่อเป็นแบบนี้ แล้วท่านยังทู่ซี้อยู่ที่นี่ต่อ ท่านจะทำอะไรได้? หากท่านยังขืนดื้อดึง จะเดินต่อไปตามแนวทางของท่าน ก็อย่าได้มาตำหนิข้าก็แล้วกัน!”

   ขณะที่หลี่ฟู่พูดไป ใบหน้าของนายท่านรองก็เปลี่ยนเป็นสีแดงสลับขาว หน้าอกของเขายังคงกระเพื่อมขึ้นลง  ซึ่งแสดงว่าเขาโกรธจัด

  ทว่าหลี่ฟูยังก็ยังพูดไม่จบ เขาจึงพูดต่อว่า "หากพวกท่านทั้งหมดไปลาออกทันที แล้วออกจากเมืองหลวงไป ก็อย่าไปกล่าวโทษเรื่องที่ผ่านมา ไม่อย่างนั้น เราคงต้องมาสะสางบัญชีกันให้ชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย อย่างเรื่องที่ทางราชสำนัก เข้าใจผิดคิดว่าข้าหายตัวไป ไม่รู้ว่าเงินตอบแทนนั้นยังเหลืออีกเท่าไหร่กันนะ หลังจากที่ข้าเสียสละชีวิตเพื่อบ้านเมือง?"

  นายท่านรองชะงักนิ่ง ความโกรธที่ท่วมท้นอยู่ หายไปอย่างฉับพลัน!

   “เจ้าหมายความว่ายังไง?” เขากัดฟันถาม

   หลี่ฟู่ยิ้มเย็น แล้วเอ่ยอย่างมีความหมาย: "หมายความว่าอย่างไรเหรอ? ท่านอารองไม่รู้หรือ? ท่านอยากให้ข้าต้องแจกแจงทุกคำพูดเลยใช่หรือไม่?"

  ในเบื้องต้น เงินนั้นควรเป็นของหลี่ฟู่ ซึ่งประเด็นนี้ ครอบครัวเขาไม่อาจปฏิเสธได้ และไม่มีทางปฏิเสธเลยด้วย

   อย่างไรก็ตาม ด้วยการนำเงินไปซื้อบ้าน ที่ดินและ ร้านค้า บวกกับการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในช่วงสองหรือสามปีที่ผ่านมา เงินก้อนนั้นยังจะเหลืออยู่อีกเท่าไหร่เล่า? ข้าเกรงว่าคงจะเหลือไม่ถึงหนึ่งในห้าส่วนแล้วกระมัง!

   นายท่านรองยังคงไม่ยอมแพ้ พลางถอนหายใจ และกล่าวว่า “หลานชาย เจ้าจะใจดำต่อกันจริงๆหรือ? เราไม่เคยว่ากล่าวเจ้าเลยนะ และเจ้าก็อย่าได้ตำหนิเราเลย สำหรับเรื่องหลานสะใภ้ เพราะเป็นความจริงที่นางเป็นคนมีนิสัยเกะกะระราน เรารู้สึกคับข้องใจแทนเจ้า เรารู้สึกว่าเจ้าติองลำบากใจกับคนแบบนี้มาก และเราพยายามมองนางในแง่ดีเท่าที่จะเป็นไปได้! หากเจ้าชิงชังเราเพราะเรื่องนี้ เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทางเจ้ากับทางข้ามาปรับตัวด้วยกันเถอะนะ!"

   เมืองหลวงคือสถานที่อันใด? แล้วบ้านเกิดคือสถานที่อันใด?

  เทียบกันแล้ว มันต่างกันราวฟ้ากับเหว!

  เขาคุ้นชินกับการเห็นความเจริญรุ่งเรือง  และเพลิดเพลินกับความมั่งคั่งและเกียรติยศแล้ว จู่ๆเขาก็ต้องมาทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง แล้วกลับไปยังสถานที่โดดเดียวห่างไกล ซึ่งรายล้อมไปด้วยกลุ่มพวกอันธพาล และคนชั้นต่ำ ที่จะฆ่าเขาได้ง่ายๆน่ะเหรอ!

   หลี่ฟู่เงียบไม่พูดอะไร พลางเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่เห็นด้วย

   ที่พวกเขาไม่เคยว่ากล่าวตน นั่นเป็นเพราะเขามีผลประโยชน์ต่อพวกเขา พวกอารอง ไม่เพียงแต่จะไม่ทำให้เขาขุ่นเคืองใจ แต่จะมีท่าทีสุภาพกับเขาด้วย!

   ทว่าพี่สะใภ้ใหญ่และหลานชายไม่ได้โชคดีนัก

   เมื่อนายท่านรองเห็นว่า หลานชายมีท่าทางไม่แยแส จึงกัดฟันพูด “ยามที่พี่ชายคนโตยังมีชีวิตอยู่—”

  “อย่าพูดถึงท่านพ่อของข้า!” ดวงตาของหลี่ฟู่มืดครึ้มลง ร่างกายพลันเย็นเยียบและโกรธเกรี้ยวในทันใด

   หลังจากที่บิดาเขาถึงแก่กรรม มารดาของเขาก็เศร้าโศก จนตรอมใจตายตามไป ขณะนั้นเขายังเด็กนัก พี่ชายและพี่สะใภ้ก็อ่อนแอ และถึงแม้เขาจะไม่รู้ทุกเรื่องในสิ่งที่อารองและอาสะใภ้รองกระทำ เขาก็ตระหนักได้ เมื่อดูจากวิธีที่พวกเขาปฏิบัติต่อพี่สะใภ้ใหญ่และหลานชาย พวกเขาอาจข่มเหงรังแก และทำเรื่องที่ผิดศีลธรรมก็เป็นได้!

   ไม่อย่างนั้นพี่ชายของเขา อาจจะยังไม่ตายเร็วขนาดนี้

   หลี่ฟู่ลุกขึ้น แล้วพูดอย่างเย็นชา: "ข้าให้เวลาอารองแค่สามวันเท่านั้น!"

   พอกล่าวจบ หลี่ฟู่ก็หันหลังเดินจากไป

   นายท่านรองถูกกดดัน ด้วยท่าทางน่าเกรงขามของอีกฝ่าย จนร่างกายของเขาหนาวเหน็บราวกับตกลงไปในห้องเก็บน้ำแข็งใต้ดิน เขาพูดอะไรไม่ออกสักคำ ได้แต่เฝ้ามองอีกฝ่ายเดินจากไป

   ไม่นานหลังจากหลานชายจากไป เขาก็กลับมาได้สติ แล้วถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แข้งขาพาลอ่อนแรง จนทรุดนั่งบนเก้าอี้ ในขณะที่มือสั่นระริกไม่หยุด

   ทันทีที่คำพูดของหลี่ฟู่ ได้ถูกถ่ายทอดออกไปในจวนสายรอง คนทั้งครอบครัวต่างก็เดือดดาลและด่าทอเสียงขรม แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของหลี่ฟู่ พวกเขาก็นึกกังวลอีกครั้งไม่ได้

   การออกจากเมืองหลวง เป็นสิ่งที่ไม่มีใครต้องการ!

   การเป็นขุนนางในเมืองหลวง และอาศัยอยู่ในจวนอันกว้างขวางโอ่อ่าเช่นนี้ มีแต่ความสุขสบายเป็นอันมาก กลับไปชนบท และเลิกใช้ชีวิตอันมีหน้ามีตานี้ไป!

   ทว่าที่หลานชายสั่งให้พวกเขากลับชนบท พวกเขาต้องทำตามด้วยเหรอ?

   คนทั้งครอบครัวต่างทะเลาะถกเถียงกันด้วยความวิตกกังวล หน้านิ่วคิ้วขมวด  ด้วยความขุ่นเคืองเกือบตลอดทั้งคืน ทว่าพวกเขาก็หาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นประโยชน์ไม่ได้

   และวันนี้ก็เป็นวันแรกของเส้นตายที่หลี่ฟู่กำหนดไว้

   “พอแล้ว! ข้าจะถอดหน้าแก่ๆทิ้ง แล้วไปอ้อนวอนขอร้องเหลียนฟางโจว!” ฮูหยินรองกัดฟัน ยอมลดทิฐิ แล้วพูดอย่างใจนักเลงว่า: “ข้าจะขอร้องนาง! ข้าจะขอร้องนางอย่างสุภาพ! เจ้าสองคน ไม่สิ เจ้าทั้งสามคนมากับข้าด้วย! หว่านโหรว อย่าได้หยาบคายอีก หากครอบครัวเราต้องออกไปจากเมืองหลวงจริงๆ เจ้าจะทำอย่างไรกับการแต่งงานของเจ้าเล่า!"

   กล่าวได้ว่าหลี่หว่านโหรว ซึ่งเดิมทีก็ขุ่นเคืองอยู่แล้ว ถึงกับตกใจกลัว หน้าเปลี่ยนสีไปฉับพลัน นางนิ่งอึ้งตัวแข็งทื่อ  รู้สึกหนาวเหน็บในใจจริงๆ

   กลับบ้านเกิด... แล้วแต่งงานกับพวกคนบ้านนอกชั้นต่ำน่ะเหรอ?

   อย่านะ! อย่าได้แม้แต่จะฆ่านาง!

   “ท่านแม่ เหลียนฟางโจวผู้นั้น เป็นคนโหดเหี้ยมที่สุด แม้ว่าเราจะเต็มใจขอร้องนางด้วยน้ำเสียงสุภาพ นางอาจไม่ยอมปล่อยพวกเราไปก็เป็นได้ บางทีนางอาจจะรอดูเรื่องตลกของเราด้วยความสะใจ! ท่านจะไปขอร้องนางเหรอ? ข้าคิดว่า พวกเราไปหาคนตระกูลจู ยังมีประโยชน์เสียมากกว่า ไม่แน่ว่าตระกูลจูอาจช่วยเราก็เป็นได้นะเจ้าคะ!”

   หลี่หว่านโหรวเอ่ยด้วยความเดือดดาล

   "หุบปาก! เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรของเจ้า!" นายท่านรองหน้าเปลี่ยนสี ดวงตากวาดมองทุกคนอย่างดุดัน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ข้าไม่คิดว่า ข้าจะได้ยินเรื่องแบบนี้ นี่แสดงว่าพวกเจ้าทั้งคู่ไม่เคยฟังที่ข้าบอกเลยใช่ไหม! พวกเจ้าอย่าได้โทษข้า ที่หยาบคายก็แล้วกัน! ตระกูลจูจะเป็นมิตรหรือ? พวกเขาจะช่วยเราโดยไม่มีเหตุผลหรือ? และเราสามารถให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการได้หรือไม่เล่า?"





5 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ4 พฤษภาคม 2567 เวลา 12:05

    ผู้แปลเหนื่อยมากเกินไปเลยลงตอนผิดรึเปล่าคะ
    น่าจะเป็นตอนที่ 809 นะคะ
    พักผ่อนเยอะ ๆ นะคะ ช่วงนี้อากาศร้อนจัด จนหลายคนป่วยเป็นโรคลมแดดกันถ้วนหน้า
    ดูแลสุขภาพนะคะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ

    ตอบลบ
  3. ไม่ระบุชื่อ4 พฤษภาคม 2567 เวลา 16:49

    ขอบคุณค่ะ ดูแลสุขภาพด้วยค่ะ

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ13 พฤษภาคม 2567 เวลา 17:06

    ข้ามตอนมาเยอะเลย ค่ะ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณที่แปลให้อ่านค่ะ แต่ข้ามไปเยอะมากเลยนะคะความจริงน่าจะเป็นตอนที่ 809 ค่ะ

    ตอบลบ