วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 842 หลี่ฟู่ออกจากเมืองหลวง

      ในฐานะรัชทายาท หรือไท่จื่อ ที่มีพี่น้องมากมายรวมไปถึงกลุ่มคนที่สนับสนุนพี่น้องของพระองค์ ในส่วนของตำหนักบูรพา ไม่รู้ว่ามีสายตากี่คู่ที่จ้องมองมาที่พระองค์ตาเป็นมัน!


   พระองค์จึงทรงต้องต้องรักษาภาพลักษณ์ที่ซื่อสัตย์ชอบธรรมให้ดีที่สุด เพื่อให้ได้รับการปกป้องจากเหล่าบัณฑิตทั่วหล้า เพราะพลังของบัณฑิต เป็นกระดูกสันหลังของแว่นแคว้น และแม้แต่ฮ่องเต้ก็ไม่สามารถล้มล้างได้ง่ายๆ

   ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ รัชทายาทจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกพ่อค้า เราต้องรู้ก่อนว่า ชนชั้นที่ถูกบัณฑิตดูหมิ่นมากที่สุด ก็คือพ่อค้า

   อาศัยเพียงเบี้ยหวัด และผลตอบแทนจากจ้วงจื่อและร้านค้าหลายแห่ง ที่เปิดเผยได้ หากเพียงพอใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของคนในตำหนักบูรพา ก็นับว่าไม่เลวแล้ว! การจะมีเงินเอาไปทำอย่างอื่น มันจะเป็นเรื่องง่ายดายได้อย่างไร?

   ทว่าก็ดีไปอย่าง อย่างน้อยการทำตัวเปิดเผยและโปร่งใส ก็จะไม่ทำให้ผู้คนสงสัย อีกทั้งฮ่องเต้ก็จะทรงไม่มีวันสงสัยในตัวเขา ความระแวงสงสัยของฮ่องเต้  คือผลพวงที่ไม่มีใครสามารถจ่ายได้

   หลี่ฟู่กล่าวอีกครั้งว่า “หากเจ้าได้พบไท่จื่อเฟยในอนาคต เจ้าไม่ต้องแสดงออกอะไรเป็นพิเศษ จงทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัย! ในทางเปิดเผย ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับตำหนักบูรพาทั้งนั้น!"

   เหลียนฟางโจวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "ท่านไม่ต้องกังวลมากจนเกินไป จะเพ้อเจ้อใหญ่แล้ว! ข้าจะมีโอกาสไปพบกับไท่จื่อเฟยได้อย่างไร! หากข้าได้เข้าวังหลวงมาแล้วหลายปี ข้าถึงจะมีสิทธ์พบตัวพระนางได้! "

   หลี่ฟู่รู้สึกว่าเขากังวลมากเกินไปหน่อย  จึงเอ่ยยิ้มๆ "ข้าก็แค่พูดเผื่อไว้!"

   ทั้งคู่คุยกันจนผล็อยหลับไปในตอนกลางดึก 

   เพียงพริบตาเดียว ก็ถึงวันที่หลี่ฟู่จะออกจากเมืองหลวงแล้ว

  ข่าวกบฏเหลียวตงยังไม่แพร่สะพัดในหมู่ราษฎร ดังนั้นราชสำนักย่อมไม่กระจายข่าวร้ายดังกล่าวไปทั่ว จึงมีคนน้อยนักในเมืองหลวงที่รู้เรื่องนี้

   กองทหารจากค่ายทหารใหญ่ทางตอนเหนือ ได้มุ่งหน้าไปยังป้อมค่ายเสิ่นหยางในเหลียวตงแล้ว ซึ่งพวกเขารวมตัวกันเพื่อฝึกฝนทหาร ที่ได้รวบรวมมาจากป้อมค่ายทั้ง 13 แห่งในพื้นที่ หลี่ฟูและแม่ทัพอีกเก้านาย ได้พาทหารม้าไปเพียง 2,000 นาย จากค่ายทหารใหญ่สามแห่งในเขตชานเมืองหลวง และรีบรุดไปพบปะรวมตัวกัน

    หลังจากที่หลี่ฟู่สนทนากับเหลียนฟางโจวอย่างลับๆในคืนนั้น วันรุ่งขึ้นเขาก็ยุ่งมาก จนเท้าแทบไม่แตะพื้น

   ยามกลับมาที่จวน บุตรชายก็หลับไปแล้ว

   เนื่องจากต้องเริ่มออกเดินทาง ยามรุ่งสางของวันพรุ่งนี้ ตามกฎแล้ว เขาก็ต้องไปพักอยู่ในค่ายทหารนอกเมืองในคืนนี้

   ในช่วงบ่ายหลี่ฟู่ สามารถหาเวลาว่าง แล้วเร่งรีบกลับไปที่จวน เพื่อบอกลาภรรยาและบุตรของตน

   ใครเล่าจะรู้ว่า ยามนี้บุตรชายกำลังนอนหลับในยามบ่าย สองมือเล็กอวบยกขึ้นเหนือศีรษะ และเขาก็นอนหลับอุตุอย่างมีความสุข

  หลี่ฟู่บีบแก้มสีชมพูนุ่มนิ่มของบุตรชายเบา ๆ แล้วยิ้มให้เหลียนฟางโจว: “ดูแล ซู่เอ๋อร์ให้ดี แล้วข้าจะพาเขาไปขี่ม้า ยามข้ากลับมา!”

   เหลียนฟางโจวหลุดยิ้ม แต่ดวงตาของหญิงสาวกลับรื้นขึ้นเล็กน้อย

   เธอพยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม: "วางใจเถิด! เจ้าตัวเล็กเป็นเด็กดี! ท่านต้องกลับมาเร็ว ๆนะ ไม่อย่างนั้น หากข้าสอนเขาให้เรียกพ่อ เขาก็จะไม่รู้ว่าพ่อคืออะไร!"

   “…” หลี่ฟูมีสีหน้าสลดพูดไม่ออก ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตกลง!”

   ทั้งสองสามีภรรยาต่างยิ้มให้กัน

   หลังจากที่หลี่ฟู่ออกจากเมืองหลวงไปแล้ว เหลียนฟางโจวได้สั่งการพ่อบ้านเฉียนอย่างละเอียด มีการวางกฏเข้าออกจวนที่เข้มงวด และหญิงสาวได้อธิบายกับลั่วกว่างอย่างละเอียด ถึงการเดินเวรยามในตอนกลางคืน ซึ่งจะต้องรอบคอบและระมัดระวังเป็นพิเศษ เวรยามเหล่านั้นห้ามดื่มและเล่นการพนันโดยเด็ดขาด  และเมื่อใดที่ถูกจับได้ พวกเขาจะอยู่ที่จวนนี้ไม่ได้อีกต่อไป!

   คนจำพวกที่ชอบดื่ม และชอบเล่นการพนัน มักจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือได้ง่ายที่สุด ดังนั้นเธอจึงต้องคอยระมัดระวังในส่วนนี้

   หญิงสาวสั่งพ่อบ้านเฉียน ให้ไปสัญญากับทุกคนว่า ผู้ใดที่ทำงานหนักขยันขันแข็งในช่วงหลายเดือนข้างหน้า เมื่อนายท่านกลับมาแล้ว ทุกคนจะได้รับรางวัลพิเศษ!

   เพียงพริบตาเดียว ก็เป็นวันที่ 14 เดือนแปด 

   หลี่ฟู่ได้ออกจากเมืองหลวงไปเจ็ดถึงแปดวันแล้ว แต่เหลียนฟางโจวรู้สึกว่าเวลามันช่างผ่านไปนานเหลือเกิน

   เธออดหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้ และก็รู้สึกอับจนปัญญา! ด้วยความฉุกละหุกเช่นนั้น เธอคงไม่อาจแม้แต่จะไปร่วมงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ในเมืองหลวงได้!

   ตามปกติ หญิงสาวต้องเข้าวังหลวงในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพรฮองเฮา

   ในช่วงวันขึ้นปีใหม่ เหตุเพราะเธอตั้งครรภ์อยู่ ส่วนในช่วงเทศกาลแข่งเรือมังกร เธอก็อยู่เดือนหลังคลอด เหลียนฟางโจวจึงไม่ได้เข้าวัง แต่พรุ่งนี้เธอต้องเข้าวังแล้ว

  คืนนั้นชุนซิ่งและหงอวี้ พาสาวใช้รุ่นเล็ก มาตรวจสอบเครื่องแต่งกายที่ใส่ในงานพิธีการ ซึ่งถูกพบเมื่อสองสามวันก่อนอย่างละเอียด และพบว่าไม่มีความเสียหายใดๆ จากนั้นจึงนำมาใส่ไว้ในตู้ เพื่อใช้สวมใส่ในตอนเช้า

วันรุ่งขึ้น เธอต้องออกไปแต่เช้าตรู่ และในคืนแรก เหลียนฟางโจวจึงได้สั่งงานแม่นมอย่างละเอียด ก่อนจะกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน

  เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากแต่งกายอย่างถูกธรรมเนียมแล้ว เหลียนฟางโจวได้พา หงอวี้ออกไปกัน โดยมอบหมายให้ชุนซิ่งอยู่เฝ้าจวน

   รถม้าหยุดที่ประตูเจินชุ่นอย่างช้าๆ  จากนั้นเหลียนฟางโจวและหงอวี้ก็ลงจากรถม้าทีละคน

  ในยามพลบค่ำนี้ นางมองขึ้นไปที่กำแพงวังสีแดงสดและประตูสีแดงขนาดยักษ์สองบาน ซึ่งมีหมุดทองเหลืองขนาดเท่าชามข้าว ตอกลงเป็นระเบียบทั้งในแนวตั้งและแนวนอน หญิงสาวถอนหายใจเบา ๆ จู่ๆก็บังเกิดความรู้สึกแปลกแยกขึ้นมา

   หงอวี้ช่วยประคองนางเดินไปข้างหน้า  มีขันทีหนุ่มผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้มานำทางแล้ว ได้มาโค้งคำนับเธอ แล้วพาพวกเธอไปที่พระราชวัง

   บนจัตุรัสกว้าง หน้าตำหนักคุนหนิง ที่มีการตกแต่งด้วยดอกไม้ และอิฐสีน้ำเงินอมเขียว มีผู้คนมากมายมา ยืนรอกระจายอยู่เป็นกลุ่มๆ

   เหลียนฟางโจวเลือกที่จะยืนอยู่ในบริเวณที่ไม่เตะตา แล้วหันสีหน้าเบื่อหน่าย มองไปยังทิศกำแพงวัง และชายคาของหลังคาที่โค้งงอนขึ้น ซึ่งอยู่ไกลออกไป สายตาของหญิงสาวเหม่อลอยอยู่ในภวังค์

  เมื่อได้เวลาเข้างาน ภายใต้การแนะนำของเจ้าหน้าที่พิธีการ บรรดาคุณหนูและฮูหยินชั้นสูงมากมาย ให้เข้าแถวแบ่งเป็นสองฟาก ทางฝั่งซ้ายและฝั่งขวา  โดยเรียงลำดับตามขั้นของพวกนาง จากนั้นพวกนางก็ทยอยเดินเข้าไปในตำหนักคุนหนิงตามลำดับ แล้วคุกเข่าลงน้อมคำนับ กล่าวถวายพระพรฮองเฮา

   คนกลุ่มที่สองที่เพิ่งจะเดินเข้ามา ก็ได้ยินเพียงเสียงโวยวายจากด้านหลัง

   ท่ามกลางเสียงเกลี้ยกล่อมเบาๆเจือความวิตกกังวล ของเหล่านางกำนัลและขันทีในวัง เสียงห้วนกระด้างเป็นพิเศษของสตรีผู้หนึ่งก็ดังขึ้น เจือด้วยเสียงสะอื้นและโกรธกริ้ว สตรีผู้นั้นตวาดใส่นางกำนัลและขันที "ไปให้พ้น!" แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้

   ทุกคนต่างตกตะลึงไปตามๆกัน

   ก่อนที่เหลียนฟางโจวจะทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ สตรีผู้นั้นก็ร้องไห้และวิ่งผ่านฝูงชนไป โดยวิ่งมุ่งหน้าเข้าไปในตำหนักคุนหนิงราวกับสายลมหอบหนึ่ง

   เหล่านางกำนัลและขันทีที่เกลี้ยกล่อม และขัดขวางสตรีผู้นั้น ต่างก็แอบบ่นในใจว่า คราวนี้ คงได้โดนลงโทษหนัก อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว!

   เหลียนฟางโจวมองเห็นเพียงเสื้อคลุมสีแดงสดใสของสตรี และรองเท้าหุ้มข้อสูงสีดำมันวาว แต่ไม่เห็นใบหน้าของนางชัดเจน สตรีผู้นี้เป็นใคร เหตุใดถึงกล้าร้องไห้แบบนี้! หากนางกล้ารีบรุดเข้าไปในตำหนักคุนหนิง นางแน่ใจว่าฮองเฮาจะทรงไม่ตำหนินางเหรอ? อย่างไรก็ตาม ด้วยการละเลยมารยาทและไม่คำนึงถึงความเหมาะสม แม้ว่านางจะเป็นองค์หญิงที่เป็นที่โปรดปราน ฮองเฮาจะไม่ยกโทษให้นางง่ายๆหรอกใช่ไหม?

    เหลียนฟางโจวรู้สึกงุนงง ทว่ามีบางคนได้ตอบคำถามในใจของเธอแล้ว

    ดูท่าครอบครัวของผู้หญิงคนนี้ คงจะมีเรื่องซุบซิบนินทามาก และเมื่อเจ้าหน้าที่สตรีเห็นเหตุการณ์นี้ พวกนางก็อดกระซิบกระซาบกันไม่ได้

   หลิวจวิ้นหวางเฟย[1] ทรงเสียสติไปหรือเปล่า?”

   “ใครกันจะมีความอาจหาญเช่นนี้นอกจากพระนาง!”

   “ข้าได้ยินมานานแล้วว่าหวางเฟยองค์นี้ทั้งเย่อหยิ่งและไร้เหตุผล และวันนี้ข้าก็ได้เห็นแล้ว!”

   “พอมีใจกล้าเกินไปหน่อย ก็เลยไปชนกับฮองเฮาเข้าจริงๆ—”

   “ไม่รู้ว่ามีเรื่องอะไรกัน?”

   “พอเถอะ จะมีเรื่องอะไรเสียอีกเล่า? ไม่มีอะไรหรอกนอกจาก 'เรื่องในครอบครัว'ไง!”

   ทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา หลายคนก็หัวเราะเบาๆ ด้วยท่าทางแปลกๆ

  มีคนหนึ่งถอนหายใจอีกครั้ง: “หากจะบอกว่า หลิวจวิ้นหวางเฟยนั้นกระทำการอุกอาจเกินไป หลิวจวิ้นหวางเฟยนั้นทรงขี้หึงเกินไป แต่คงไม่มีใครสู้ในจวนของแม่ทัพหลี่—แค่กๆ!”

   เหลียนฟางโจวซึ่งกำลังตั้งใจฟังอยู่  ก็รู้สึกถึงสายตาสองสามคู่ ที่เหลือบมองมาทางเธอได้ทันที หญิงสาวจึงอดเหยียดริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย็นชาไม่ได้

   ฟังดูเหมือนเรื่องนี้ น่าจะเป็นว่าหลิวจวิ้นอ๋องทรงนอกใจ หลิวจวิ้นหวางเฟยก็เลยทรงกริ้ว แล้วรีบเสด็จเข้าวังหลวง เพื่อไปฟ้องร้องคร่ำครวญกับฮองเฮา เพื่อให้ทรงตัดสินกระมัง?

**

[1]ตำแหน่งพระชายาเอกคนแรกของจวิ้นอ๋อง


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น