วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2567

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 843 หลิวจวิ้นหวางเฟยมาฟ้อง

     พอพูดแบบนี้ เหลียนฟางโจวและหลิวจวิ้นหวางเฟยผู้นี้ ก็ล้วนแต่เป็นสตรีขี้อิจฉาที่ทนการมี "พี่สาวน้องสาว" ไม่ได้!


   นี่ เมื่อครู่เธอแค่ไม่รู้ว่าฮูหยินตระกูลไหนที่พูดถูกจริงๆ! เธอแค่โชคดีกว่าผู้อื่นหน่อย ที่หลี่ฟู่ไม่ได้หมกมุ่นเรื่องผู้หญิงนัก

   หากหลี่ฟู่สนใจขึ้นมาจริงๆ เธอเองก็จนปัญญาจะควบคุมแล้ว!

 แน่นอนว่าเธอไม่สนใจหรอก และเธอก็จะจากไปโดยไม่ลังเลเลย แถมยังดูถูกเสียอีก!

    แต่การที่หลิวจวิ้นหวางเฟยได้ก่อเรื่องเช่นนี้ จะเห็นได้ว่า นางยังรักหลิวจวิ้นอ๋องอยู่ ซ้ำเป็นรักฝังลึกด้วย ทว่าน่าเสียดายที่นางหลงรักผิดคน!

   พวกผู้ชายมักบ่นว่าผู้หญิงขี้หึง ไร้คุณธรรม แต่กลับคิดไม่ถึงว่า หากผู้หญิงคนนี้ไม่มีเขาอยู่ในหัวใจ หากไม่เห็นคุณค่าของเขา นางจะเป็นแบบนี้ได้ยังไง!

   เพียงพริบตาเดียว สตรีกลุ่มที่สองที่เข้าไปด้านใน ก็กลับออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็ว

   ยามนี้กูกูผู้ดูแลตำหนักคุนหนิง ยังไม่มีสัญญาณให้เหล่าฮูหยินของขุนนางกลุ่มต่อไปผ่านเข้าไป

  ทุกคนต่างมองหน้ากันไปมา ทั้งหมดต่างขยิบตาและยิ้มให้เป็นอันรู้กัน: ยามนี้ฮองเฮาคงอาจกำลังปวดพระเศียรอยู่ก็เป็นได้ จะทรงมีเวลาเรียกพวกนางเข้าไปได้ยังไง!

   ต้องเป็นเช่นนั้นแน่! ตอนที่เข้าวังกันในวันนี้ ทุกคนต่างก็เห็นฉากอันครึกครื้นแบบนั้น ถึงฮองเฮาไม่ทรงเรียกเข้าเฝ้า ทุกคนก็เดาถูกเผง!

   เป็นไปตามที่คาดไว้ หลังจากรออีกหนึ่งเค่อ เหยียนกูกูคนสนิทข้างกายฮองเฮา ก็รีบออกมาสั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันกลับไปได้ ทว่านางกลับเรียกเหลียนฟางโจวและยิ้มให้เธอ: "แม่ทัพหลี่ไม่อยู่ที่จวน วันนี้เรากลับมาพบกันอีกครั้ง ในช่วงเทศกาล ในเมื่อฮูหยินหลี่อยู่เฝ้าจวนคนเดียวเบื่อๆ ไฉนท่านไม่เข้าวังไปสนทนาเป็นเพื่อนฮองเฮาเล่า เรามาฉลองเทศกาลนี้ด้วยกันเถอะ!"

   แสดงว่าคงมีข่าวลือว่า เธอเข้าวังเพื่อร่วมงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ใช่หรือไม่? เหลียนฟางโจวนิ่งงัน

   พระดำรัสของฮองเฮา กล่าวได้ว่าเป็นข้อชี้แนะด้วยความหวังดี หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นพระราชเสาวนีย์ ดังนั้น เหลียนฟางโจว จึงไม่อาจเพิกเฉยต่อความสนพระทัยของพระนางได้ ดังนั้นหญิงสาวจึงต้องทำหน้าดีอกดีใจ แล้วรีบตอบรับพร้อมรอยยิ้ม ราวกับได้รับเกียรติอย่างสูงส่ง

    โชคดีที่ทุกคนล้วนถูกดึงดูดความสนใจ จากการปรากฏตัวของหลิวจวิ้นหวางเฟย และยามนี้ การถวายพระพรก็จบลงแล้ว การพูดคุยก็ดังแค่ระดับกระซิบ จึงไม่มีใครสนใจเหลียนฟางโจวเลย

   เมื่อกลับมาที่จวน เหลียนฟางโจวก็เล่าถึงพระประสงค์ของฮองเฮา ให้ทุกคนในจวนรู้ พวกเขาต่างก็ยิ้มแย้มดีใจ และรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง

   ตระกูลของนายท่านได้รับเกียรติอันสูงส่ง เหล่าบ่าวไพร่ล้วนหน้าใส เวลาพวกเขาออกไปซื้อของข้างนอก ก็สามารถยืดอกอย่างผึ่งผาย และพูดเสียงดังกังวานขึ้น

   ชุนซิ่ง เหลียนเจ๋อ และคนอื่นๆ มองเหลียนฟางโจว และยิ้มอย่างเข้าใจ ทว่าเหลียนฟางโจวกลับส่งยิ้มเจื่อนๆ

   สุดท้าย มันก็คือคราวเคราะห์ของตน และมีแต่พวกเขาเท่านั้นที่เข้าใจ!

  หลังจากเข้าไปในวังแล้ว เหล่านางกำนัลและขันทีก็จะล่าถอยออกไป และคนที่เหลืออยู่ ก็ล้วนเป็น "คนชั้นสูง" แล้วที่ทางของเธออยู่ที่ไหนเล่า? บทบาทของเธอก็มีเพียง แสดงความซาบซึ้ง ต่อพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อครอบครัวของเหล่าแม่ทัพ ที่ออกเดินทางไปรับใช้ชาติเท่านั้น!

   ถ้าทำผิดพลาดโดยไม่คาดฝัน ก็ต้องยอมรับโทษด้วยตัวเอง!

  หากเลือกได้ เธอไม่อยากไปเลยจริงๆ ! อะไรจะดีไปกว่าการอยู่อย่างสบายใจในบ้านของตัวเองเล่า?

  น่าเสียดาย ที่เธอได้แต่คิดในใจ และก็ไม่อาจเอาความคิดนี้ มาพูดในบ้านของตัวเองได้

   "ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็ควรพักผ่อนให้เต็มที่ ข้าเกรงว่าเจ้ายังต้องเหนื่อยเมื่อไปงานเลี้ยงที่วังหลวง!" โจวซื่อหัวเราะ

    หลังจากซู่เอ๋อร์อายุครบเดือน โจวซื่อผู้มารดาและลูกชาย ก็ยังคงย้ายกลับไปที่บ้านเก่าเพื่ออาศัยอยู่ที่นั่น เวลาหลี่อวิ๋นหันกับเหลียนเจ๋อพบกัน พวกเขาจะมาหาที่จวนเป็นครั้งคราว และบางครั้งเหลียนเจ๋อก็ไปหาเขาที่จวนเก่าเช่นกัน โจวซื่อชอบซู่เอ๋อร์ยิ่งนัก นางจึงมาเยี่ยมที่จวนบ่อยๆ

   วันนี้เป็นวันเทศกาล โจวซื่อและบุตรชาย ย่อมมาเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลกับพวกเธอที่จวนแม่ทัพ

   เหลียนฟางโจวยิ้ม แล้วพูดว่า "เช่นนั้นก็ยินดีต้อนรับ พวกเราก็ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ! คืนนี้ข้าต้องรบกวนพี่สะใภ้ใหญ่ ช่วยข้าดูแลที่จวนด้วย พรุ่งนี้ข้าจะมาขอบคุณพี่สะใภ้ใหญ่นะเจ้าคะ!"

เธอรู้ว่าโจวซื่อเป็นคนรอบคอบระมัดระวัง ทำให้เธอห่วงกังวลเรื่องในจวนน้อยลง  หญิงสาวจึงยิ้มแล้วพูดว่า “จวนของเราก็เหมือนกับบ้านของพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่สามารถจัดเตรียม ตามที่พี่สะใภ้ใหญ่ต้องการได้เลย ท่านบอกไปเลยว่าต้องการอันใด อย่าได้มองเป็นคนอื่นคนไกลเลย! ไม่เช่นนั้น ท่านคงไม่ทำให้ข้าอย่างดีที่สุดแน่!”

เมื่อหญิงสาวพูดถึงตรงนี้ โจวซื่อย่อมหลบเลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้นนางจึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม: "วางใจเถอะ! ข้าจะจัดการให้”

   เหลียนฟางโจวแย้มยิ้ม และเล่าความให้ เหลียนเจ๋อและเหลียนฟางชิงฟังพอสังเขป ก่อนจะกลับห้องนอนไปพักผ่อน

   งานเลี้ยงในวังไม่เพียงแต่เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล แต่ยังเป็นฉากแห่งการเดินบนน้ำแข็งบางๆ เพราะต้องคอยระมัดระวังตัวทุกจุด  จะทำผิดพลาดไม่ได้

   ในช่วงบ่ายแก่ๆ เหลียนฟางโจวพาหงอวี้เข้าไปในวังอีกครั้ง และตรงไปยังตำหนักคุนหนิง

   วันนี้เป็นวันเทศกาลคืนรวมญาติ ในระหว่างวัน ฮ่องเต้ได้ทรงจัดงานเลี้ยงให้กับขุนนางผู้ใหญ่ในรัชสมัยที่แล้ว และเพื่อให้ขุนนางปัจจุบันทุกคนที่เกี่ยวข้อง ได้กลับไปหาครอบครัวแล้ว และให้กลับมาพบกันอีกครั้งเพื่อร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น

  ดังนั้น ไม่เพียงจะมีแต่ฮ่องเต้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์ชาย ท่านอ๋อง องค์หญิง พระชายา พระนัดดา และเจ้าเมืองทุกคน ที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงรวมญาติ ในวังหลังที่จะมีขึ้นในตอนเย็น

   เมื่อเหลียนฟางโจวมาถึงตำหนักคุนหนิง ตำหนักคุนหนิงก็เต็มไปด้วย นางกำนัลและขันทีนับไม่ถ้วน ซึ่งทำงานกันขวักไขว่ โดยเข้ามาตอบคำถาม และถ่ายทอดพระเสาวนีย์

   งานเลี้ยงของราชวงศ์ในวังหลัง ย่อมถูกจัดโดยผู้นำสูงสุดของฝ่ายใน อย่างฮองเฮา

   ในการจัดงานเลี้ยงของครอบครัว ที่มีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วม ซึ่งเป็นครอบครัวราชวงศ์ที่มีกฎเกณฑ์และธรรมเนียมที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง แต่น่าแปลกที่ฮองเฮาไม่ค่อยยุ่งวุ่นวายนัก

   เมื่อเหลียนฟางโจวและหงอวี้มาถึง พวกนางก็รออยู่ที่เฉลียงทางเดินของห้องโถงใหญ่ในตำหนักคุนหนิง รออยู่เป็นนาย พวกนางก็เห็นกูกูสามถึงสี่คนในวัยสามสิบหนาว สวมชุดเครื่องแบบนางกำนัลอาวุโสสีแดงปรากฏตัว โดยนางกำนัลเด็ก ซึ่งมีอายุราวสิบหกถึงสิบเจ็ดหนาว สวมชุดนางกำนัลสีแดงเงิน ออกมาเชิญเธอเข้าไป

   ครั้งนี้ เธอเข้าเฝ้าฮองเฮาที่ในศาลาซีหน่วน ซึ่งไม่ได้งดงามเท่าห้องโถงใหญ่ แม้จะยังคงมีบรรยากาศหรูหรางดงามอยู่บ้าง แต่ก็ดูนุ่มนวลและสะดวกสบายกว่ามาก เหลียนฟางโจวจึงรู้ว่าที่นี่น่าจะเป็นที่ประทับอาศัยตามปกติของฮองเฮา . . .

    หญิงสาวกวาดตามองดูอย่างรวดเร็ว ทว่าสายตากลับเห็นสตรีวัยกลางคนสวมเสื้อแขนกว้างปักลายหงส์สีส้มแดง และลายดอกกุหลาบวิจิตรสีแดงสด บริเวณไหล่ปักลายเมฆประดับด้วยไข่มุกและพู่ห้อย เกล้ามวยผมสูงงามสง่า ปักปิ่นเฉียงๆ คนผู้นั้นกำลังเอนกายเล็กน้อยบนตั่งที่ปูด้วยผ้าปักลายหงส์ อิงหมอนอิงผ้าปักลายสีเหลืองผลซิ่ง มีสีหน้าอ่อนโยน เจืออ่อนล้าเล็กน้อย มีนางกำนัลสองคนที่แต่งหน้าอย่างวิจิตรบรรจง คอยปรนนิบัติรับใช้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา 

   "หม่อมฉัน นางกำนัลหลี่เหลียน เข้าเฝ้าถวายพระพรฮองเฮาเพคะ!" นางกำนัลน้อยพาเหลียนฟางโจวเข้ามา เหลียนฟางโจวเพียงแค่เหลือบมองอีกฝ่าย แล้วก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นหญิงสาวก็ก้มหน้ายอบกายคำนับ

    สำหรับหงอวี้ นางไม่มีคุณสมบัติพอจะเข้าพบฮองเฮา ดังนั้นเหลียนฟางโจวจึงปล่อยให้นางกำนัลน้อย พานางไปพักที่อื่น

   ตอนนั้นเองที่ฮองเฮาทรงรู้ว่า เธอเข้ามาแล้ว ฮองเฮาจึงทรงลุกขึ้นนั่งเล็กน้อย ความเหน็ดเหนื่อยบนพระพักตร์ก็จางลง  และสีพระพักตร์ก็กลับมาแจ่มใสอีกครั้ง  พระนางทรงยกพระหัตถ์ขึ้น แล้วตรัสพร้อมรอยแย้มสรวล: "ฮูหยินหลี่ ลุกขึ้นเถอะ!" แล้วพระนางก็แย้มสรวลอีกครั้ง: "เข้ามา แล้วนั่งลงเถอะ"

   "ขอบพระทัยในพระมหากรุณาธิคุณเพคะ!" เหลียนฟางโจวยอบกายคำนับ แล้วกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงลุกขึ้นอย่างเหมาะสม แล้วนั่งเอียงๆอย่างสำรวมบนจั้วตุน(เก้าอี้ทรงรูปกลอง)เพียงครึ่งก้น 

   ตั้งแต่ต้นจนจบ ฮองเฮาทรงเฝ้ามองดูหญิงสาวทุกย่างก้าว ด้วยสายพระเนตรเย็นชา เมื่อทรงเห็นว่าอีกฝ่ายมีกิริยามรรยาทดีงาม คำพูดและการแสดงออก ก็ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสม ท่าทางก็ดูน่านับถือ ฮองเฮาจึงทรงอดพยักหน้าอย่างลับๆไม่ได้ พลางดำริในพระทัย : คำคนเชื่อถือไม่ได้ ที่ลือกันว่าฮูหยินหลี่วางอำนาจบาทใหญ่เหนือแม่ทัพ  ทั้งขี้หึงและโง่เขลา ทว่ายามเปิ่นกงมองดูดีๆแล้ว นางก็ใช้ได้นี่นา! ทว่าจากชาติกำเนิดและปูมหลัง นางไม่อาจเทียบได้กับคุณหนูที่เติบโตมาในตระกูลที่ทรงเกียรติและสูงส่ง ซึ่งได้รับการอบรมมารยาทต่างๆ มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่ก็หายากนักที่นางจะสามารถทำได้ถึงขั้นนี้!

    ที่แท้ก็ข่าวลือ——

    ตระกูลจู พวกเจ้าพยายามจะทำอะไรกัน!

    ฮองเฮาทรงอดรู้สึกรำคาญหน่อยๆ

    หากข้ารู้ว่าเรื่องน่าขบขันที่ข้าทำในตอนนั้น จะถูกตระกูลจูนำไปใช้สร้างความวุ่นวาย ข้าก็ไม่ควรจะพูดแบบนั้นออกมาตั้งแต่แรกเลย!











ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น