บทที่ 973 เจ็บอีกแล้ว
เหลียนเจ๋อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วยิ้มออกมา "ชิงเอ๋อร์ชอบเที่ยวเล่นเสมอ
แต่ดูเหมือนว่าหมู่นี้นางจะออกไปข้างนอกมากกว่าเมื่อก่อน นางคงคุ้นเคยกับเมืองหลวงแล้วกระมัง? ส่วนนางจะออกไปกับใครนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ นางมีสหายใหม่อยู่สองสามคน
และมาเป็นแขกที่บ้านของเราเป็นครั้งคราว ดังนั้น ก็ต้องน่าจะเป็นพวกเขาแน่!”
หลี่ฟู่พยักหน้า "อ้อ" และไม่พูดอะไรต่อ เหนืออื่นใด มีบางเรื่องราวที่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ
เขาจึงแค่ตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อน เอาไว้รอดูกันอีกทีเถอะ!
ตกตอนเย็น เหลียนฟางชิงก็มาจริง ๆ นางสวมเสื้อและกระโปรงสีเหลืองขนห่านที่ปักลายดอกเหมยสีอ่อนเป็นหย่อมๆ
เกล้ามวยย้อยที่สาว ๆนิยมเกล้ากันในช่วงนี้ พร้อมปักปิ่นหยกและติดดอกไม้ขนาดเท่าเหรียญทองแดง
เป็นดอกไม้ผ้าไหมดอกเหมยสีชมพูที่ทำขึ้นอย่างประณีตงดงาม นางมีดวงตาสดใส ฟันขาวสะอาด
น่ารักมีเสน่ห์และเฉลียวฉลาด ราวกับดอกสุ่ยเซียนที่พลิ้วไหวอย่างสง่างามในสายลม
ยามที่เหลียนฟางชิงร้องเรียก "พี่ใหญ่!" พร้อมรอยยิ้มแป้น เพราะมีเรื่องจะบอก
หลี่ฟู่ก็ออกมาจากประตูเขตเรือนพอดี นางจึงหยุดเท้าแล้วร้องทักพร้อมรอยยิ้ม "พี่เขย!"
"ชิงเอ๋อร์" หลี่ฟู่เองก็หยุดเดิน แล้วส่งยิ้ม ก่อนเอ่ย
"วันนี้เจ้าไปไหนมารึ?"
เหลียนฟางชิงพลันรู้สึกเปลือกตาเต้นกระตุก ทว่าก็ยังยิ้มให้หลี่ฟู่ พร้อมดวงตาฉ่ำน้ำกลมโต
"ข้าไปพายเรือเล่นที่ทะเลสาบโฮ่วไห่ ที่นั่นน้ำใสสะอาดนัก ข้าเห็นปลามากมาย และดอกบัวตูมเต็มไปหมดเลย
ช่างงดงามยิ่งนัก! พี่ใหญ่จะต้องชอบที่นั่นแน่ พี่เขย พี่เขย หากท่านมีเวลาว่าง
ก็พาพี่ใหญ่ไปเที่ยวที่นั่นสิ! ซู่เอ๋อร์ไม่เคยเห็นดอกบัว เขาต้องชอบเหมือนกันแน่เลยเจ้าค่ะ!"
หลี่ฟู่เห็นความปรารถนาดีและความกระตือรือร้น รวมทั้งท่าทางชี้แนะอย่างแข็งขันและอย่างใจจดใจจ่อของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มทนนิ่งเฉยกับความตั้งใจดีของนางไม่ได้ จึงพยักหน้าอย่างอดไม่ได้
"จริงเหรอ? ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องไปดูสักหน ยามมีเวลาว่างเสียแล้ว! "
"ใช่แล้วเจ้าค่ะ!" เหลียนฟางชิงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม "หากพี่เขยไม่ได้รังเกียจที่ข้ามาเกะกะพวกท่านทั้งสามคน
ก็พาข้าไปด้วยได้นะเจ้าคะ!"
หลี่ฟู่ยิ้มและเอ่ยว่า "ใครกล้ารังเกียจเจ้ากัน? ข้าอยากให้เจ้าไปด้วยจะแย่ ยิ่งมีคนมาก
ก็ยิ่งครึกครื้น!"
เหลียนฟางชิงหัวเราะดีใจ "ถ้าเช่นนั้นข้าขอขอบคุณพี่เขยล่วงหน้านะเจ้าคะ!
มีร้านเต้าฮวยที่ดีที่สุดที่จุดชมทิวทัศน์ของทะเลสาบโฮ่วไห่ เมื่อถึงตอนนั้นพวกเรายังสามารถไปกินเต้าฮวยได้ด้วย!
ข้าขอไปหาพี่ใหญ่และซู่เอ๋อร์ก่อนนะเจ้าคะ!”
เหลียนฟางชิงกล่าวขอตัวกับหลี่ฟู่ และเดินเข้าเขตเรือนไป
หลี่ฟู่อ้าปากจะร้องเรียกหญิงสาว แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
เขาสั่นศรีษะและอดยิ้มไม่ได้ พลางพึมพำพร้อมรอยยิ้ม "เด็กซนคนนี้นี่
พูดวกไปวนมา สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้นางเลี้ยวลดไปจนได้!"
ลงท้ายเขาก็ไม่มีโอกาสถามคำถามที่อยากถามเลยแม้สักข้อเดียว
หลังจากสั่งให้พวกทหารข้างนอกไปทำธุระให้แล้ว หลี่ฟู่ก็เดินกลับมา พอเดินไปได้ไม่กี่ก้าว
เขาก็เห็นฝูหย่ากับเจียเสวี่ย กำลังเดินมาจากทางเดินของสวนดอกไม้ด้านข้าง
แต่ละคนถือพัดกลมปักไหมสีขาว สวมอาภรณ์สีสันสดใส มองแวบแรกก็รู้ว่า พวกนางแต่งตัวจัดเต็มกันมา
พวกนางทำราวกับว่าเพิ่งเงยหน้ามาเห็นหลี่ฟู่โดยบังเอิญ พอทั้งสองคนเงยหน้าขึ้นมา
ก็ตกตะลึงด้วยสีหน้าประหลาดใจระคนดีใจ พวกนางยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อย แล้วเดินซอยเท้าตรงไปหาหลี่ฟู่อย่างรวดเร็ว
ก่อนจะคุกเข่าค้อมตัวแล้วเอ่ยขึ้น "คารวะท่านโหวเจ้าค่ะ!"
หลี่ฟู่รู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อไรวันนี้จะสิ้นสุดเสียที!
ในห้องนอนเขา ก็มีดอกกุหลาบสีสันสดใส พร้อมหนามแหลม และน่าดึงดูดใจอย่างหาใดเปรียบอยู่แล้ว
แล้วเขาจะชายตามองพวกดอกไม้ป่าและวัชพืชพวกนี้ได้อย่างไร?
แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของเหลียนฟางโจว ที่ให้เขารู้จักถอยเมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สำควร
หลี่ฟู่จึงยังคงอดทนและเอ่ยอย่างใจเย็นว่า "มีอะไรกันหรือเปล่า?"
พวกนางไม่แปลกใจอีกต่อไปแล้ว ที่เห็นท่านโหวยินดีจะพูดคุยกับพวกนาง
เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านโหวยินดีพูดคุยกับพวกนาง
แต่นั่นเป็นเพียงการสนทนาทั่วไปเท่านั้น!
ฝูหย่าคิดถึงประเด็นนี้อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหัวเราะและเอ่ยว่า
"ดูเหมือนบ่าวจะเห็นฮูหยินใหญ่หลี่เจ้าค่ะ ทางโน้นมีคุณชายใหญ่กับพวกนายน้อยสกุลเหลียนผู้เป็นญาติอยู่ด้วย
มือไม้ของบ่าวเองก็แคล่วคล่องและขยันขันแข็ง บ่าวจะขออนุญาตท่านโหวไปช่วยปรนนิบัติรับใช้ตอนรับประทานอาหารได้ไหมเจ้าคะ
บ่าวรับรองว่าจะไม่ทำให้จวนโหวต้องขายหน้าแน่เจ้าค่ะ”
การที่นางพูดว่าไม่กล้าทำให้จวนโหวขายหน้า แต่ความหมายที่แท้จริงก็คือ
ให้พวกเราไปปรนนิบัติรับใช้ในระหว่างรับประทานอาหารเถอะ
พวกเราเป็นรางวัลที่ได้รับพระราชทานมาจากในวังหลวงเชียวนะ
ทำแบบนี้จะทำให้จวนโหวมีหน้ามีตามิใช่หรือ?
เมื่อเจียเสวี่ยได้ฟัง ก็รีบพูดเออออว่าใช่แล้ว
หลี่ฟู่ยังคงไม่แสดงออกและไม่แยแส และพูดออกมาทื่อๆ โดยไม่เสียเวลาคิด
"ไม่จำเป็น! พวกเจ้าควรทำอะไรก็ทำไป ตราบใดที่พวกเจ้าปฏิบัติตามกฎ ก็จะไม่มีใครในจวนนี้ขัดขวางพวกเจ้า!
หากมีเวลาว่างมากจริงๆ ก็ไปช่วยปลูกดอกไม้ที่เรือนกระจกเถอะ! ฮูหยินของข้าบอกข้าเมื่อสองวันก่อนว่า
ขาดแรงงานคนปลูกดอกไม้ในเรือนกระจกไปสองคนพอดี! มีอะไรจะพูดอีกไหม?"
นับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หลี่ฟู่ปฏิบัติต่อพวกนางเช่นนี้ สีหน้าของฝูหย่าและ
เจียเสวี่ยดูแล้วไม่น่ามอง
พวกนางจะมีคำพูดอื่นได้อีกอย่างไร?
จึงได้แต่เฝ้ามองหลี่ฟู่จากไปอย่างทำอะไรไม่ได้
ทั้งสองคนพลันรู้สึกหนาวเยือกและมึนงงอยู่พักหนึ่ง
พวกนางอยู่ในวัยดอกไม้แรกแย้ม
และยังเป็นรางวัลพระราชาทานจากฮ่องเต้อีก พวกนางจึงภาคภูมิใจในตัวเองยิ่งนัก!
ทว่าพอพวกนางเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาท่านโหวหลายครั้งเข้า
สิ่งที่ได้รับกลับมากลับเป็นท่าทีไม่แยแสและคำพูดเชือดเฉือนไร้ความปรานี แล้วพวกนางจะวางแผนอะไรได้อีกเล่า?
หากท่านโหวเป็นคนมีนิสัยแบบนั้นจริงๆ ก็ไม่เป็นไรหรอก เช่นนั้นก็คงตำหนิคนไม่ได้
ทว่าพวกนางเห็นอยู่ชัดๆว่าเขาอ่อนโยนและมีน้ำใจต่อภรรยามากเพียงใด ส่วนสีหน้าบูดบึ้งและรอยยิ้มแบบนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ชอบพวกนาง!
เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาไม่ชอบเลยด้วย!
หากเป็นแบบนี้ ความพากเพียรและทุ่มเทหาหนทางทุกอย่างของพวกนางจะยังคงมีความหมายอยู่เหรอ?
ทว่านี่ไม่ใช่แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างเรื่องเสื้อผ้าสักชิ้น หรือเครื่องประดับชิ้นน้อยๆ
หากพวกนางยอมถอดใจ นั่นก็คือการยอมละทิ้งความรุ่งโรจน์และมั่งคั่งไปตลอดชีวิต!
ภูมิหลังของพวกนาง ออกจะแข็งแกร่งกว่าฮูหยินใหญ่ผู้นี้ไม่รู้ตั้งกี่เท่า!
ขอเพียงท่านโหวสามารถตระหนักถึงความดีงามเลอเลิศของพวกนาง ฮูหยินเอกจะนับเป็นอะไรได้?
ในอนาคต เมื่อพวกนางคนใดมีบุตรชายคนต่อไป เด็กคนนั้นจะได้รับการอบรมเลี้ยงดูเป็นอย่างดี
เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งโหวในจวนนี้ ก็ยังไม่แน่?
เมื่อถึงตอนนั้น ถึงไม่ยอม ก็ต้องแต่งตั้งนางเป็นฮูหยินตราตั้ง ที่สูงส่งน่าเกรงขามเหนือใคร!
พอคิดถึงเรื่องนี้ สิ่งล่อใจอันยิ่งใหญ่ถึงปานนี้
จึงกลายมาเป็นเปลวไฟ ที่ปลุกหัวใจที่เย็นชานั้นให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“วันคืนแบบนี้ ไม่รู้ว่าจะยังมีต่อไปอีกถึงเมื่อไหร่” เจียเสวี่ยถอนหายใจเบา
ๆ
ฝูหย่ากัดริมฝีปาก และแค่นเสียงเอ่ย "สักวันหนึ่ง... ท่านโหวจะเข้าใจถึงความดีของพวกเรา
ไม่แน่ว่า บางทีท่านโหวอาจเข้าใจพวกเราผิดก็ได้!"
เจียเสวี่ยใจเต้นกระตุก หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
การล้มระเนระนาดครั้งใหญ่ที่ประตูวังในวันนั้นถือเป็นเรื่องอัปยศอดสู
เมื่อได้ยินเจียเสวี่ยพูดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของฝูหย่าก็ไม่น่ามองไปชั่วขณะหนึ่ง
และแค่นเสียงเย็นชา "ข้าคิดว่าฮูหยินต้องพูดเรื่องพวกนี้กับท่านโหวแน่ ใช่แล้ว!
ไม่ต้องมองเรื่องที่ฮูหยินยิ้มให้เรา แต่แสร้งทำตัวมีคุณธรรมเลย หากนางไม่เล่นสกปรกกับพวกเรา
พวกเราก็คงไม่เจอกับเรื่องไม่น่าสบอารมณ์ทุกครั้งเป็นแน่!”
ท่านโหวไม่เพียงไม่สนใจตนเและคนอื่นๆ ต่อให้พวกนางอยากซื้อตัวบ่าวรับใช้สักคนในจวน
ก็ไม่มีใครยอมให้ซื้อ และก็เป็นไปไม่ได้ที่จะจ่ายเงินซื้อบ่าวดีๆมาจากนอกจวนด้วย!
ในจวนนี้ นับว่าพวกนางหัวเดียวกระเทียมลีบของจริง!
เจียเสวี่ยเองก็คิดแบบนั้นเช่นกัน นางไม่ได้คิดมากและลึกซึ้งเท่าฝูหย่า
นางคิดแค่ว่า ในเมื่อฮูหยินใหญ่ไม่ได้ตัดสินใจจัดเตรียมพวกนางให้มาปรนนิบัติท่านโหว
และไม่ได้ตัดสินใจเปิดหน้าหาอนุภรรยามาให้ท่านโหว ฮูหยินใหญ่ก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นฮูหยินผู้ไร้คุณธรรม
และจงใจสร้างความลำบากให้พวกนาง
“พี่สาว บอกข้าทีว่า พวกเราควรจะทำอย่างไรกันดี! ท่านโหวช่างดื้อด้านเสียจริง
พวกเราพยายามทุกวิถีทางจนหมดแรงแล้วนะ เฮ้อ!” เจียเสวี่ยถอนหายใจลึก ๆด้วยความสิ้นหวัง
ขอบคุณค่ะ สนุกมาก มีคนดื้อด้านมาอีกละ
ตอบลบ