วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2568

จับแม่ทัพไปไถนา-บทที่ 1148 ซือซือ

 

บทที่ 1148 ซือซือ

เหลียนเจ๋อรู้สึกงุนงงโดยไม่มีเหตุผล เขาก้มลงมองตัวเองเล็กน้อย แต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ทว่าในใจกลับรู้สึกแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก

เขาหัวเราะพลางกล่าวว่า"เจ้ามองข้าเช่นนี้ทำไม? หรือว่ายังมีสิ่งใดที่ข้าคิดไม่รอบคอบ? หากมีเจ้าก็บอกมาเถอะ"

สวีอี้หยุนกล่าวเสียงเรียบว่า "ข้าอาจเข้าใจเจ้าผิด... แต่ใช่ว่าจะเข้าใจซือซือผิดด้วย ท่านรู้หรือไม่ว่า—ซือซือมีความรู้สึกต่อท่าน... ท่านไม่รู้จริง ๆ หรือ?"

เหลียนเจ๋อถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ ก่อนจะเข้าใจสิ่งที่นางต้องการสื่อ แล้วหัวเราะออกมา "เจ้าเอาแต่คิดมากอีกแล้ว! ซือซือจะมีความรู้สึกใดกับข้าได้อย่างไร? นางเป็นคนของชิงเอ๋อร์! ปกติแล้ว นางทำแต่งานเงียบ ๆ ไม่เคยพูดหรือแสดงท่าทีใดต่อหน้าข้าเลย เจ้าคิดมากไปเองแน่ ๆ!"

สวีอี้หยุนอ้าปากเหมือนจะโต้แย้ง แต่เมื่อลองคิดดูดี ๆ กลับไม่รู้จะเถียงเขาอย่างไรได้

สวีอี้หยุนเพียงกล่าวว่า “นางยอมสละชีวิตเพื่อช่วยท่าน เช่นนี้ยังไม่ถือว่าเป็นความรู้สึกหรือ?”

“แน่นอนว่าไม่ใช่!” เหลียนเจ๋อหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินคำพูดของนาง ก่อนจะถอนหายใจพลางกล่าวว่า “ซือซือเป็นคนกตัญญู ตอนนั้นข้าเคยช่วยชีวิตนางไว้ บางทีเพราะเหตุนี้ นางจึงตัดสินใจเสี่ยงชีวิตช่วยข้า แต่ตอนนั้นข้าก็แค่ทำไปตามมโนธรรม ไม่คิดเลยว่ามันจะนำมาสู่เรื่องราวเช่นวันนี้ ช่างเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริง ๆ!”

เมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต เหลียนเจ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะเทือนใจ

สวีอี้หยุนแทบจะทนฟังเขาพูดไม่ไหว นางรีบโพล่งออกไปอย่างร้อนรน   “ตอนนั้นยังมีคนหยอกล้อกันว่านางเป็นเจ้าสาวที่ถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กของท่านนะ! ท่านคิดว่านางจะไม่มีความรู้สึกใดเลยหรือ?”

เหลียนเจ๋อชะงักไปทันที สีหน้าฉายแววประหลาดใจปนไม่เป็นธรรมชาติ ก่อนจะถามกลับด้วยความตกใจว่า “เจ้า... เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?”

เรื่องนี้ เหลียนเจ๋อจำได้ว่าในตอนนั้นตนยังเด็กมาก แม้แต่กับเหลียนฟางโจว หรืออาหญิงสาม ซึ่งเป็นคนใกล้ชิด เขาก็ไม่เคยเอ่ยถึง

บ่าวไพร่ในเมืองหลวงยิ่งไม่มีทางรู้ แล้วหยุนเอ๋อร์รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?

สวีอี้หยุนเห็นว่า ไม่อาจปิดบังต่อไปได้ จึงยอมรับตรง ๆ ว่า “ซือซือเป็นคนบอกข้าเอง”

ใบหน้าของเหลียนเจ๋อแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเงียบไป ไม่เอ่ยสิ่งใด หากเรื่องนี้ เป็นซือซือที่เอ่ยขึ้นมาเอง เขาย่อมเข้าใจได้ทันทีว่า มันหมายถึงอะไร

"ท่าน... ไม่เชื่อข้าหรือ?" สวีอี้หยุนเห็นเขาเงียบไปก็ถามขึ้นมา

"ไม่ใช่" เหลียนเจ๋อหัวเราะเบา ๆ ก่อนกล่าวว่า "ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน นอกจากนางแล้ว ยังจะมีใครรู้เรื่องนี้ได้อีก? กระทั่งพี่สาวของข้า ข้ายังไม่เคยบอกเรื่องนี้เลย!"

สวีอี้หยุนเองก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวว่า "ในเมื่อพูดกันมาถึงขนาดนี้แล้ว ข้าก็ไม่ปิดบังท่านอีกต่อไป"

จากนั้นนางจึงเล่าเรื่อง การเผชิญหน้ากับซือซือหลายครั้ง และคำพูดทั้งหมดที่ซือซือเคยกล่าว ให้เหลียนเจ๋อฟังโดยละเอียด

สีหน้าของเหลียนเจ๋อค่อย ๆ มืดลง ขณะที่ฟังจบ ในใจของเขา พลันเกิดความโกรธขึ้นมา เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าซือซือจะเป็นหญิงที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้

เขาไม่อยากเชื่อว่านางจะแอบทำเรื่องต่าง ๆ ลับหลังเขามากมายขนาดนี้ แต่ถึงอย่างไร ก็ดูเหมือนว่าไม่เชื่อก็ไม่ได้เสียแล้ว

"ถ้าเช่นนั้น ก็ยิ่งปล่อยให้นางอยู่ในเมืองหลวงไม่ได้" เหลียนเจ๋อกล่าวอย่างเด็ดขาด รอให้นางหายดีแล้ว ข้าจะให้คนส่งนางออกไปจากที่นี่! ระหว่างนี้ เจ้าอย่าพูดอะไรกับนางทั้งนั้น"

สวีอี้หยุนพยักหน้า พลางถอนหายใจโล่งอก เมื่อเขาตัดสินใจได้แน่วแน่แล้ว นางก็ไม่ต้องกังวลว่าซือซือจะก่อเรื่องอะไรอีก แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวเสริมว่า "อย่างไรนางก็เคยช่วยชีวิตพวกเรา แม้ว่าที่นางทำ อาจไม่ได้ตั้งใจจะช่วยข้าก็ตาม แต่สุดท้าย ข้าก็รอดมาได้เพราะนาง ท่านพูดกับนางดี ๆ เถิด อย่าทำให้นางต้องเสียใจไปมากกว่านี้เลย"

"ข้ารู้" เหลียนเจ๋อยิ้มบาง ๆ

เมื่อล่วงเข้าสู่ ต้นเดือนแปด ซือซือที่ยังต้องให้คนคอยประคอง แต่ก็สามารถเดินเหินได้โดยไม่มีปัญหา วันหนึ่ง เหลียนเจ๋อเรียกนางไปพบ ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรกับนางบ้าง สองวันให้หลัง ซือซือเดินทางออกจากเมืองหลวงกลับไปยังบ้านเก่าของตระกูลเหลียนที่เมืองยู่เหอ ก่อนจากไป ดวงตาของนางบวมแดงราวกับร้องไห้มาอย่างหนัก

เรื่องราวจบลงอย่างเงียบงัน คนในจวน ต่างรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด และสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สองเจ้านายต่างไม่มีใครเอ่ยถึง ขณะที่ ซือซือเองก็จากไปอย่างเงียบเชียบ โดยไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว จวนเหลียนยังคงสงบเรียบร้อย ไม่มีคลื่นลมใด ๆ แม้ว่าผู้คนจะอยากพูดถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยอะไร สุดท้าย เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงไปเช่นนี้ ไม่นานนัก เรื่องราวของซือซือก็ค่อย ๆ ถูกลืมเลือนไป ไม่มีใครเอ่ยถึงอีก

เมื่อซือซือกลับไปยังตระกูลเหลียน นางไม่เคยเอ่ยถึงเหลียนเจ๋อและสวีอี้หยุนในแง่ร้ายแม้แต่คำเดียว นางทุ่มเทจิตใจทั้งหมดในการดูแลอาหญิงสาม อย่างไรก็ตาม นางไม่เคยตกลงใจแต่งงานกับผู้ใดเลย

เมื่อเหลียนเจ๋อและสวีอี้หยุนได้รับข่าวนี้ ในใจล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด

สวีอี้หยุนอดเวทนาไม่ได้ ถึงกับเอ่ยปากกับเหลียนเจ๋อให้รับซือซือเป็นอนุภรรยา แต่เรื่องของความรู้สึก ไม่มีใครสามารถบังคับได้ ซือซือไม่ยอมแต่งงานกับใคร และในทำนองเดียวกัน เหลียนเจ๋อก็ไม่อาจรับนางเป็นของตนเองได้ ซือซือเป็นคนที่เขาเคยช่วยชีวิตไว้ และติดตามอยู่ข้างกายเหลียนฟางโจวมาตลอด สำหรับเขาแล้ว นางก็เหมือนน้องสาวคนหนึ่ง จะให้ รับนางเป็นภรรยา? เขาทำไม่ได้ และก็ไม่ต้องการเช่นกัน!

ดังนั้น เหลียนเจ๋อจึงเพียงสั่งให้คนที่บ้านเก่าดูแลซือซือให้ดี และเรื่องนี้ก็ไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาอีก

เมื่อซือซือได้รับรู้เรื่องนี้ นางจึงเขียนจดหมายถึงเหลียนเจ๋อและสวีอี้หยุน ในจดหมาย นางกล่าวอย่างชัดเจนว่า ข้าไม่ยอมแต่งงาน เพราะข้าไม่ต้องการแต่ง ไม่ใช่เพราะอยากทำให้พวกท่านรู้สึกผิด ข้าใช้ชีวิตเช่นนี้ และข้าก็มีความสุขดี

หากพวกท่านรู้สึกไม่สบายใจนัก และคิดว่าข้าต้องแต่งงานถึงจะทำให้พวกท่านสบายใจได้ เช่นนั้นข้าก็จะแต่ง แต่ขอให้รู้ไว้ว่า... ทั้งชีวิตนี้ ข้าย่อมไม่มีวันมีความสุข"

เหลียนเจ๋อทำได้เพียงยิ้มขื่น ๆเมื่อได้รับจดหมาย เมื่อเขาสืบข่าว พบว่าซือซือใช้ชีวิตอย่างดี มิได้เศร้าหมอง ไม่ได้ฟูมฟาย หรือทุกข์ระทมใด ๆ เช่นนั้น เขาจึงค่อยวางใจลงได้ และค่อย ๆ ปล่อยวางเรื่องนี้ไป

ที่ตระกูลเหลียน ซือซือกลายเป็นบุคคลที่มีสถานะพิเศษ

จากเดิมที่ทุกคนเรียกนางว่า "แม่นางซือซือ"  บัดนี้ ทุกคนกลับเรียกนางว่า "ท่านอาซือซือ"

หลายปีต่อมา อาหญิงสามจากโลกนี้ไป ซือซือจึงตัดสินใจ เข้าพำนักในอารามชี บำเพ็ญเพียรโดยไม่ปลงผม ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในการดูแลนาง ล้วนได้รับการจัดเตรียมอย่างดีจากตระกูลเหลียน

ทุกครั้งที่นางจ้องมองแสงเทียนเล็ก ๆ ที่ริบหรี่ในความมืด ซือซือมักจะถามตนเองเสมอว่า—ทั้งหมดนี้มันคุ้มค่าหรือไม่?

และคำตอบของนางก็คือ "คุ้มค่า!"

เพราะชีวิตของนางเปลี่ยนไปและได้รับการช่วยเหลือเพราะเขา นางจึง ยอมรับว่าเขาคือเพียงหนึ่งเดียวในใจของนาง แม้จะต้องเฝ้ารักษาความรู้สึกนี้ไว้เพียงลำพัง แต่ไม่มีใครสามารถทำลายมันได้ และไม่มีใครสามารถแย่งชิงมันไปจากนาง ขอเพียงมีความรู้สึกนี้อยู่ ก็เพียงพอที่จะอบอุ่นหัวใจไปตลอดชีวิต

กลางเดือนหก อากาศร้อนขึ้นทุกวัน แต่ในเมืองหลวงกลับ เต็มไปด้วยความคึกคักยิ่งกว่าปกติ เพราะ กำลังจะมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ผู้คนพลุกพล่านจอแจ เมืองทั้งเมืองคล้ายคลื่นทะเลที่ซัดสาด ไม่มีแม้แต่ช่วงเวลาให้หยุดพัก

เหตุการณ์สำคัญนี้คือการคัดเลือกสนม วันคัดเลือกถูกกำหนดไว้ใน วันที่หกเดือนเจ็ด เมื่อถึง ช่วงกลางเดือนหก บรรดาหญิงสาวที่เข้าร่วมการคัดเลือกก็ ทยอยเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงทีละกลุ่ม

ทั่วทั้งเมือง เต็มไปด้วยขบวนรถม้าหรูหราที่แล่นผ่านตามท้องถนน สิ่งนี้ดึงดูดสายตาของ บรรดาเหล่าคุณชายเจ้าสำราญและพวกนักเลงหนุ่ม ที่พากัน ชี้ไม้ชี้มือ วิพากษ์วิจารณ์ด้วยความสนใจ แม้พวกเขา จะไม่มีโอกาสได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหญิงงามในรถม้า แต่เพียงแค่จินตนาการว่า สตรีเหล่านั้นอาจกลายเป็นพระสนมของฮ่องเต้ในอนาคต ก็เพียงพอจะทำให้ จิตใจล่องลอยไปกับความฝันและจินตนาการอันหอมหวาน

เศรษฐกิจเมืองหลวงเฟื่องฟูอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ช่วงเวลานี้ ร้านค้าทุกประเภทที่เกี่ยวข้องกับสตรี ต่างก็ คึกคักราวกับถูกกระตุ้นด้วยพลังมหาศาล ไม่ว่าจะเป็น โรงเตี๊ยมและหอสุรา ร้านจำหน่ายผ้าไหมและโรงปัก ร้านตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านเครื่องประดับทอง-เงิน ร้านเครื่องหอม เครื่องสำอาง ต่างทุ่มเทแข่งขันกันอย่างดุเดือด ชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทุกแห่งล้วน ลงทุนอย่างหนักเพื่อดึงดูดลูกค้า บรรยากาศแห่งการแข่งขัน ร้อนแรงราวกับเปลวเพลิง ทำให้ผู้คนต่าง ตื่นตะลึง กับการแย่งชิงโอกาสในช่วงเวลานี้!

เรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันมิใช่ผู้ลุ่มหลงนารี ในรัชสมัยของอดีตฮ่องเต้ การคัดเลือกสนม จะจัดขึ้นทุกสามปี เว้นเสียแต่บ้านเมืองประสบภัยพิบัติร้ายแรง ทว่าตั้งแต่ฮ่องเต้เจี้ยนเต๋อขึ้นครองราชย์กว่า 30 ปี พระองค์จัดการคัดเลือกสนมมาเพียงสองครั้งเท่านั้น ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม และ ไม่มีใครบอกได้ว่า จะมีครั้งต่อไปหรือไม่!

หากหญิงสาวคนใด โชคดีได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ ในภายหลัง เมื่อเรื่องราวของนางถูกพูดถึง หากมีการกล่าวว่า ก่อนเข้าวัง นางเคยใช้เครื่องสำอางจากร้านใด หรือ สวมใส่เสื้อผ้าจากร้านใด จนทำให้นางโดดเด่นเหนือใคร เช่นนี้ ร้านค้าดังกล่าวก็มิใช่เป็นโฆษณาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดหรอกหรือ?

เหลียนฟางโจวเลือกที่จะวางตัวเป็นกลาง แม้ว่าเหลียนฟางโจวจะมีร้านค้าอยู่ไม่น้อย แต่เธอกลับไม่สนใจที่จะเข้าร่วมกระแสการแข่งขันอันดุเดือดนี้ แม้ว่าในทางลับ เธอจะมีการเปิดร้านเครื่องประดับทอง-เงิน และเครื่องสำอาง แต่เธอก็เลือกที่จะ เก็บตัวเงียบ ไม่เร่งรีบโฆษณาหรือชิงลูกค้า เพราะเธอมิได้ต้องการชื่อเสียงจากเรื่องนี้ ที่สำคัญที่สุด—เธอไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชสำนักแม้แต่น้อย!

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ10 ธันวาคม 2568 เวลา 12:30

    จบกันไปด้วยดีกับซือซือ ขอบคุณคะ

    ตอบลบ