วันอาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2561

จับแม่ทัพไปไถนา - บทที่ 205 ไปซื้อของใช้ในวันขึ้นปีใหม่กัน (1)


“อีกสองวันก็จะถึงวันตงจื้อเสี่ยวเหนียน [1] แล้วนะ !  หลังฉลองเทศกาลเสี่ยวเหนียน  แน่นอนเราต้องเตรียมการฉลองเทศกาลต้าเหนียนต่อ [2] ! พวกเราเข้าเมืองไปซื้อของสำหรับใช้ในวันปีใหม่กันเถิด อืม พอถึงวันที่ 27-28 ค่อยเข้าเมืองไปซื้อของกินมาตุนเพิ่มอีกครา” เหลียนฟางโจวปรึกษาหารือกับอาเจี่ยน
อาเจี่ยนพยักหน้าแย้มยิ้ม “มิต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย,แค่เงินที่ได้จากการขายถ่านเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอให้บ้านเราฉลองปีใหม่กันอย่างสบายๆเสียด้วยซ้ำ !  พวกเราลองมานึกรายการข้าวของทั้งหมดที่ต้องการซื้อหากันในตอนนี้เถิด ! ยังมีเช่อเอ๋อร์อีก มิใช่ว่าปีหน้าที่จะถึงนี้ จะต้องเข้าเรียนในสำนักศึกษาแล้วใช่หรือไม่? พวกเครื่องเขียน อย่างเช่น พู่กัน  กระดาษ แท่นฝนหมึก รวมทั้ง ตำราแบบเรียนสอนเด็ก ควรหาซื้อกลับมาอีกด้วย !  ซ้ำยังมีเสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้าล้วนต้องซื้อมาให้เขาอย่างน้อยสองชุด”

“เอาอย่างนี้สิ !” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยสีหน้าระบายยิ้ม “ไม่เพียงเช่อเอ๋อร์ที่ต้องเข้าเรียนในสำนักศึกษา  ข้ามาคิดๆดู  ทุกคนในบ้านควรรู้หนังสือด้วย  เพื่อประโยชน์ในภายภาคหน้า !  อาเจี่ยน..ข้ารู้ว่าท่านรู้หนังสือ  ท่านมาเป็นอาจารย์คนแรกของพวกเราได้ไหม?”
เหลียนเซ่อ เหลียนเช่อรวมทั้งทุกคนล้วนเชื่อว่าตัวอักษรจีนที่เหลียนฟางโจวรู้อย่างจำกัดจำเขี่ยในทุกวันนี้มีอาเจี่ยนเป็นผู้สอน   หรือไม่พี่สาวเขาก็ดันปราดเปรื่องขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ จึงมิต้องมีใครสอนก็ทำได้
ทว่าเหลียนฟางโจวทำได้เพียงแค่อ่านออก  ขนาดตัวอักษรแซ่เหลียนของตัวเอง เธอยังเขียน
ไม่เป็นเสียด้วยซ้ำ  จะว่าไปก็น่าอับอายยิ่งนัก
เธอเลยอยากถือโอกาสนี้ให้ทุกๆคน รวมทั้งเหลียนฟางฉิง ได้เล่าเรียนด้วย 
อาเจี่ยนพยักหน้าคลี่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ได้สิ เรื่องดีงามเช่นนี้  ต่อไปทุกๆคืนทุกคนจะเรียนอ่านเขียนตัวอักษรวันละครึ่งชั่วยาม  พอเรียนคัมภีร์สามอักษรจบแล้ว ก็ตามด้วยคัมภีร์ร้อยแซ่ บทอาขยานเบื้องต้น หากเพียงเขียนอ่านได้เกือบหมดก็นับว่าเก่งแล้ว  แล้วเมื่อจะศึกษาเพิ่มเติม  ถึงค่อยหาซื้อตำรามาอ่านเอง “
  
เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้มกับเหลียนเซ่อรวมทั้งคนอื่นๆ ว่าพรุ่งนี้จะเข้าเมืองไปหาซื้อของใช้ในเทศกาลขึ้นปีใหม่กัน
พอได้ยินว่าจะเข้าเมืองไปซื้อของใช้ในวันขึ้นปีใหม่พรุ่งนี้   เหลียนเซ่อและคนอื่นๆ  พากันตื่นเต้นดีอกดีใจ และหารือกันยกใหญ่ว่าจะซื้ออะไรบ้าง
เหลียนฟางฉิงกับอาสามคุยกันแต่เรื่องซื้อของกินกันเป็นวรรคเป็นเวร  ส่วนเหลียนเซ่อและเหลียนเช่อไม่มีอะไรที่อยากได้จริงๆเป็นพิเศษ  คนหนึ่งต้องการรองเท้าหนังสำหรับใส่เดินป่าและถุงมือใส่ล่าสัตว์อย่างละคู่  ทว่าเหลียนเช่ออยากได้ประทัดแขวนไว้จุดเล่นสนุกๆ   รวมทั้งลูกสุนัขมาเลี้ยงดูเล่นไว้สักหนึ่งตัว
ส่วนเหลียนฟางโจวกลับกำลังวางแผนซื้ออาภรณ์ รองเท้า ถุงเท้าใหม่เพิ่ม รวมทั้งของใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆให้สมาชิกแต่ละคนในบ้าน  ซ้ำยังเผื่อแผ่ไปถึงบรรดาบริวารใต้อาณัติเหมือนกันด้วย อีกทั้งยังต้องหาซื้อเตาพกมาเตรียมไว้ให้เหลียนเช่ออีก ไม่เช่นนั้น หลังเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เขาต้องไปเข้าเรียนในสำนักศึกษา  ต้องหัดคัดอักษร  ซึ่งคงไม่ดีแน่ หากเอามือเย็นเฉียบไปคัดอักษร...
ทุกๆคนพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นจนฟังไม่ได้ศัพท์  เหลียนฟางโจวเหลียวหลังไปมองอาเจี่ยนด้วยใบหน้าระบายยิ้ม  แล้วถามขึ้นว่า “อาเจี่ยน..ท่านมีอันใดที่อยากซื้อหรือไม่?
เหลียนเซ่อได้ยินแล้วรีบเอ่ยถามขึ้นอีกคน  “ใช่แล้ว พี่เจี่ยน  ท่านตัดสินใจได้หรือยังว่าจะซื้ออันใด !  หลายเดือนมานี้ ช่างโชคดีนัก ที่บ้านเรามีท่านมาอยู่ด้วย !”
ทุกคนล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกัน  ดวงตาทุกคู่จับจ้องชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มหวังดีจากใจจริง  ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจของอาเจี่ยน บังเกิดความอบอุ่นขึ้นสายหนึ่ง  คล้ายว่าเขามิได้สัมผัสความอบอุ่นชนิดนี้มานานหนักหนาแล้ว
แม้ว่ายามนี้ชายหนุ่มยังฟื้นความทรงจำกลับมาไม่ได้ แต่แน่ใจได้ว่า ต่อให้เป็นช่วงก่อนสูญเสียความทรงจำ เขามิเคยได้สัมผัสความอบอุ่นชนิดนี้มานานมากแล้วด้วยซ้ำ
เดิมทีชายหนุ่มมิได้รู้สึกอยากได้สิ่งใด  ทว่ายามได้เห็นบรรยกาศดีงามเช่นนี้  ก็พลันสนใจอยากร่ำสุราขึ้นมาเสียอย่างนั้น จึงเอ่ยแย้มยิ้ม “จริงสิ  ได้ยินมาว่าสุราดอกหลี่ของเมืองยู่เหอขึ้นชื่อยิ่งนัก....”
 “เรื่องนี้จะไปยากอะไร  พอถึงเวลาก็ซื้อมาสักสองสามไห   รินให้ท่านดื่มกินเสียให้พอใจเลย !” เหลียนฟางโจวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เหลียนฟางฉิงโพล่งขึ้นบ้าง  “ข้าได้ยินพี่เจ่าเอ๋อร์บอกว่า  ที่บ้านพวกนางยังมีสุราผลไม้อีกด้วยนะ ! นางบอกว่ารสชาติหอมหวานทีเดียว นางเองยังสามารถดื่มได้เลย !”  ขณะพูดไปน้องสาวตัวน้อยจ้องมองเหลียนฟางโจวอย่างลุ้นๆ
 “ดี  เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราก็บุกไปบ้านนาง ไปถามว่าพวกนางจะแบ่งขายให้พวกเราสักสองสามไหได้หรือไม่ ! จะได้ซื้อกลับมาลองชิมกัน  !” เหลียนฟางโจวเอ่ยยิ้มๆ
หลายคนฟังแล้วพากันปรบมือไชโยโห่ร้องด้วยความยินดี
จู่ๆดวงตาเหลียนเซ่อพลันฉายแววเข้มลึก แล้วเอ่ยว่า  “เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราอย่าลืมซื้อธูป เทียน กระดาษเงิน กระดาษทองมาด้วย  ในวันตงจื้ออยากให้พวกเราจุดธูปเทียน เผากระดาษให้ท่านพ่อท่านแม่ก่อนนะ !”
พอสิ้นเสียงน้องชายคนรอง  บรรยกาศอันแสนชื่นมื่นในคราแรก พลันหดหายไปเกือบหมด  เหลียนฟางฉิงเบะปากร่ำๆจะร้องไห้ออกมา  ซ้ำเหลียนเช่อก็เศร้าซึมตามไปอีกคน
เหลียนฟางโจวถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่คือเรื่องธรรมดาของชีวิต  พวกเราทั้งหมดจะไม่มีวันลืม  และต้องไม่ปล่อยให้ความเจ็บปวดโศกเศร้าเข้าครอบงำจิตใจ  วิญญาณของท่านพ่อท่านแม่ที่คอยเฝ้ามองพวกเราจากบนสวรรค์  ได้เห็นพวกเราอยู่ดีมีสุข  คงต้องเบิกบานยินดีเป็นแน่  หากพวกเราทำตัวเศร้าซึมให้ท่านเห็นอีก  พวกท่านจะมีความสุขได้อย่างไร ! “
เหลียนเซ่อรวมทั้งคนอื่นๆพยักหน้ารับคำ  สีหน้าจึงเริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
ขณะพูดไป เหลียนฟางโจวได้ลุกขึ้นยืน พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ข้าจะไปถามป้าจางและอาจวนเสียหน่อย ว่าพวกเขาสนใจไปซื้อของกับพวกเราหรือไม่ ยิ่งไปกันหลายคน ก็ยิ่งครึกครื้นดี !”
อาสามได้ยิน ก็รีบเอ่ยขึ้น “ฟางโจว?  เจ้าเอาแต่ชวนป้าจางไปด้วย ข้าเองก็อยากไปด้วยเหมือนกันนะ ! ข้าไม่ได้เข้าเมืองมานานแล้ว  ก็อยากจะไปเปิดหูเปิดตากับเขาบ้าง !”
  
ขณะพูดไป  ดวงตานางเบิกกว้างจ้องมองเหลียนฟางโจวด้วยสีหน้าตื่นๆ  กังวลหนักว่าหลานสาวจะไม่ยอมตกลง
เหลียนฟางฉิงเอ่ยขึ้นอีกคน “จริงด้วยๆ พี่ใหญ่ ให้อาสามไปด้วยนะ ไปหลายคนจะยิ่งครึกครื้นขึ้น !”
ใจเหลียนฟางโจวแอบขำในใจ  มิคาดว่าอาสามจะกลัวเธอยิ่งกว่าเมื่อก่อนนัก !
หญิงสาวนึกไม่ถึงเลยว่า  ยามนี้วีกรรมอันโหดเหี้ยมและเด็ดขาด ที่เธอก่อไว้ คงทำให้ผู้คนขวัญหนีดีฝ่อแทบตายไปแล้วกระมัง  เพราะในการควบคุมบ่าวไพร่  เธอใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ ใครทำดีก็ตบรางวัล ใครขัดคำสั่ง ก็โดนลงโทษ  หากอาสามจะหวาดกลัว ก็คงมิแปลก !
 “ไปสิ ย่อมไปได้แน่นอน !” เหลียนฟางโจวหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ถึงวันนั้นอาสามจะได้ช่วยดูแลฉิงเอ๋อร์กับเช่อเอ๋อรดีไหม !”
 “ดีมากๆ  ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น  ย่อมเป็นเช่นนั้นแน่ !” อาสามยินดีปรีดานัก  รีบพยักหนักหงึกๆอย่างสมใจ
เหลียนเช่อประท้วงขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่ใช่เด็กนะ  ไหนเลยจะให้ใครมาคอยดูแลเล่า !”
 “โฮ้ย ทุกที่ในเมืองมีแต่คนกับคน มันไม่เหมือนในขนบทบ้านเรานะ  ต้องคอยระวังตัวให้ดี ไม่เช่นนั้นพวกมิจฉาชีพมันจะมาลักพาตัวไปขาย  !” อาสามโพล่งขึ้น
เหลียนฟางโจวคลี่ยิ้มขึ้นคราหนึ่ง  แล้วเดินออกนอกประตูไป
ถ่านของปีนี้มิได้เผาแล้ว   บรรดาสมาชิกสกุลหลี่ต่างพากันนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ในบ้าน
ยามเหลียนฟางโจวมาถึง ป้าจาง จ้าวชื่อ และหลี่จวนกำลังนั่งผิงไฟอยู่รอบๆกระถางไฟ ถ่านแดงร้อนในกระถางไฟย่อมเป็นถ่านในหลุมเตาเผาที่บ้านพวกเขาเผาเอง
 “ฟางโจวมาหรือ ! มานั่งนี่มา มาอุ่นกายที่นี่ !” ป้าจางเห็นหญิงสาวมาหาถึงบ้าน ก็กวักมือเรียกเธอให้เข้ามานั่งข้างกัน อย่างยิ้มแย้มดีใจ
จ้าวชื่อกับหลี่จวน แย้มยิ้มทักทายหญิงสาว และถามว่าวันนี้เธอปลีกตัวมาได้อย่างไร
เหลียนฟางโจวแย้มยิ้มรับคำ พลางนั่งลงข้างๆป้าจาง และคุยสัพเพเหระกันพอให้หายคิดถึง  “ข้าคิดว่าอีกสองวันจะถึงวันตงจื้อเสี่ยวเหนียน  ข้าวางแผนจะเข้าเมืองไปซื้อของใช้ในวันปีใหม่ ไม่ทราบว่าป้าจาง พี่สะใภ้ กับอาจวนอยากไปด้วยหรือไม่? ถ้าพวกท่านอยากไป เราก็ไปด้วยกัน จะได้สะดวกพวกท่านและเพิ่มความครึกครื้นไปด้วย !”
ดวงตาจ้าวชื่อเป็นประกายเรืองวาบ  พลางยิ้มแกมอิจฉา “ก็สะดวกจริงๆนั่นแหละ  ยามนี้บ้านเจ้ามีรถเกวียนเทียมลาแล้วนี่ ! ท่านแม่ ท่านฟังนะ อย่างไรพวกเราก็อยากไปซื้อของใช้ในวันปีใหม่อยู่แล้วด้วย...หากท่านไม่อยากไป  ข้าขอไปได้หรือไม่?”
ป้าจางคิดใคร่ครวญสักครู่ ก็ยิ้มให้เหลียนฟางโจว “ถ้าไม่ลำบากเจ้าละก็  เช่นนั้นแล้ว....”
 “ท่านแม่ ท่านเกิดมาเกรงอกเกรงใจฟางโจวอันใดนัก !” หากฟางโจวลำบาก นางคงไม่มาชวนพวกเราหรอก ! ฟางโจว  ถึงขนาดนี้แล้ว  เอาเป็นว่าตกลงจ้ะ  พรุ่งนี้ บ้านเจ้าจะออกเดินทางเมื่อใด ก็ไปเรียกข้าด้วยนะ !” จ้าวซื่อยินดีปรีดานัก รีบเอ่ยตอบด้วยเสียงหัวเราะทันใด
ปีนี้ ที่บ้านสกุลหลี่หาเงินได้มากมายนัก เพียงพอให้ใช้ไปได้อีกสามหรือสี่ปีทีเดียว ซ้ำวิถีชีวิตได้เปลี่ยนไป กลายเป็นสมบูรณ์พูนสุข มิต้องดิ้นรนทำงานแล้ว  บวกกับได้เงินจากการขายเมล็ดฝ้ายที่บ้านตนไม่ได้ปลูกด้วย เงินในมือจึงทวีขึ้นอีก   จ้าวซื่อวางแผนเสร็จสรรพไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะซื้อหาอะไรบ้างเพื่อต้อนรับปีทองที่จะถึงนี้
*************************************
[1] วันตงจื้อ หรือเรียกว่า กว้อเสี่ยวเหนียน เป็นเทศกาลสำคัญมากเทศกาลหนึ่งในปฏิทินจีน และเป็นเทศกาลเก่าแก่ที่สืบทอดกันมา หลายแห่งมีประเพณีนิยมฉลองตงจื้อกัน โดยทั่วไปตงจื้อมักตรงกับวันที่ 21 หรือ 22 ธันวาคมตามปฏิทินสากล ตงจื้อถือว่าเป็นเทศกาลค่อนข้างใหญ่ มีคำพูดกันว่า "ตงจื้อต้าหรูเหนียน" (ตงจื้อใหญ่เหมือนฉลองตรุษจีน) และมีประเพณีนิยมฉลองตงจื้อ หลายคนใช้แป้งข้าวเหนียวทำ "ตงจื้อหยวน" เพื่อแยกความแตกต่างกับคืนก่อนตรุษจีน "ฉือซุ่ย" วันก่อนหน้าตงจื้อจึงเรียกว่า "เถียนซุ่ย" หรือ "ย่าซุ่ย" หมายความว่ายังไม่ฉลองตรุษจีน ก็อายุเพิ่มขึ้นหนึ่งปีแล้ว ในวันนี้ครึ่งซีกโลกเหนือจะเป็นวันที่กลางวันสั้นที่สุด และกลางคืนยาวนานที่สุด  ในวันนี้มีการทานอาหารเฉลิมฉลองเทศกาลด้วยซึ่งจะปฏิบัติคล้ายๆกับในเทศกาลตรุษจีน ประเทศจีนสมัยก่อนนั้น เนื่องจากช่วงปลายปีจะเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นมาก อีกทั้งในสมัยนั้น ยารักษาโรคไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พอถึงฤดูหนาวมีผู้คนหนาวตายกันเป็นจำนวนมาก เพราะเหตุนี้นี่เองเมื่อถึงเทศกาลตงจื้อ ทางภาคใต้ของจีน คนในครอบครัวจึงมารวมตัวกัน แล้วทำขนมทังหยวน(汤圆)หรือบัวลอย มาทานกันทั้งครอบครัวด้วยความสุข  ในขณะที่ภาคเหนือของจีนนิยมกินเกี๊ยว
           [2] เทศกาลต้าเหนียน หรือ วันขึ้นปีใหม่ของจีน ตามปฏิทินจันทรคติ  การฉลองจะกินเวลาตั้งแต่วันปีใหม่ไปจนจบเทศกาลโคมไฟ ตามตำนานบอกว่า คำว่าปี หรือเหนียนนั้น  คนโบราณจินตนาการว่าเป็นสัตว์ร้ายที่นำพาความโชคร้ายมาสู่ผู้คน เมื่อ  “เหนียน พ้องเสียงกับคำว่า ปี เมื่อเหนียน มาถึง ต้นไม้จะตายลง ต้นหญ้าจะงอกใหม่ เมื่อ ปี หรือเหนียน สิ้นสุด ทุกสิ่งจะเจริญเติบโต ดอกไม้จะบานทุกหนแห่ง    ส่วนเจ้าตัว "เหนียน" นั้นชาวจีนมีความเชื่อว่า เป็นสัตว์ร้ายชนิดหนึ่งที่มีร่างกายใหญ่โต มีลักษณะคล้ายวัวผสมกับแรด แถมยังมีนิสัยดุร้าย และมักออกหากินช่วงเวลากลางคืน ในวันที่อากาศหนาว ๆ เนื่องจากวันที่มีอากาศหนาวนั้นชาวบ้านจะมานั่งผิงไฟ หรือปิ้งย่างอาหารกันกลางหมู่บ้าน และเมื่อเจ้าเหนียนสัตว์ร้ายเห็น ก็จะรีบกระโจนมาแย่งอาหาร แต่ทันใดนั้นนั่นเอง กองไฟที่ทำจากไม้ไผ่ก็เกิดประกายไฟ แตกปะทุดังเปรี้ยงปร้าง เป็นเหตุให้เจ้าเหนียนหวาดกลัวและวิ่งหนีไปในที่สุด ส่วนชาวบ้านบางกลุ่มก็เชื่อว่า เจ้าเหนียนกลัวสีแดงของประกายไฟ จึงได้นำผ้าแดง และกระดาษแดง มาเขียนตัวอักษรถ้อยคำที่เป็นสิริมงคล ติดไว้ตามอาคารบ้านเรือนต่าง ๆ เพื่อให้เหนียนเห็นแล้วไม่กล้าเข้าใกล้ ทั้งนี้ การเขียนกระดาษแดงก็เป็นที่นิยม และเป็นสิ่งที่สืบทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน
         นอกจากชาวจีนจะเชื่อว่า "เหนียน" นั้นเป็นสัตว์ร้ายแล้ว คำว่า "เหนียน" ยังพ้องเสียงกับคำศัพท์ที่แปลว่า "ปี" ซึ่งคนจีนจะเชื่อว่า ช่วงสิ้นปีนั้น อากาศจะหนาวเย็นจัด ผู้คนมักไม่สบายกันมาก เพราะเจ้าตัวเหนียนออกอาละวาด ทั้งนี้การจุดประทัดเสียงดัง ก็น่าจะไล่เจ้าตัวเหนียน โรคภัยไข้เจ็บได้ และความอัปมงคลไปได้ ส่วนคนจีนบางกลุ่มก็เชื่อว่า การจุดประทัดนั้นเป็นการเรียกโชค ส่วนบางกลุ่มก็บอกว่า เป็นการจุดเพื่อให้เทพเจ้าได้ยิน ท่านจะได้มาช่วยคุ้มครองให้ชาวจีนอยู่เย็นเป็นสุข
------------------------------------------------------------------------------------
ขอบคุณสำหรับทุกคอมเมนต์และการติดตามนะคะ 
ขออภัยท่านผู้อ่านด้วยค่ะ ช่วงนี้ติดงาน เลยอัพช้าไปหน่อยค่ะ ^_^

11 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณมากค่ะ

    ขอให้คุณชัญภัทร สุขใจ สุขกาย ตลอดไปนะคะ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณค่ะ ตอนนี้อ่านสนุกแล้วยังได้ความรู้อีกด้วย รอไปซื้อของเตรียมฉลองปีใหม่ด้วยค่ะ

    ตอบลบ
  3. สนุกมาก อ่านแล้วลื่นไหลขึ้นเรื่อยๆ ฝีมือผู้แปลเก่งขึ้นเรื่อยๆ ขอบคุณมากนะคะที่เสียสละเวลามาแปลและลงให้ได้อ่าน^^

    ตอบลบ
  4. ขอบคุณค่ะ..สนุกมากมายค่ะ

    ตอบลบ
  5. ขอบคุณค่ะฟางโจวจะฉลองปีใหม่จีนพี่ไทยก็ใกล้จะถึงแล้วเหมือนกัน

    ตอบลบ
  6. ขอบคุณมากๆนะคะ ที่แปลให้อ่าน น่ารักที่สุดค่ะ

    ตอบลบ
  7. ขอบคุณค่ะ รู้สึกสนุกไปด้วย อยากไปซื้อขอสำหรับปีใหม่ทันทีเลยค่ะ

    ตอบลบ
  8. ขอบคุณไรท์ค่ะปีใหม่ของฟางโจวต้องสนุกแน่ๆ

    ตอบลบ
  9. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  10. ขอบุณค่ะ เย้ปีใหม่แล้ว

    ตอบลบ